ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ให้ พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้าน ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
เมื่อเวลา 14.00 น.องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยพระราชกำหนด 2 ฉบับคือ 1. พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ.2555 (พ.ร.ก.กู้เงิน 350,000 ล้านบาท) และ 2. พ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2555 (พ.ร.ก.โอนหนี้ 1.14 ล้านล้านบาท) ว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 1 และ วรรค 2 หรือไม่ ซึ่งคำวินิจฉัยของคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมด หรือมีเสียงตุลาการไม่น้อยกว่า 6 เสียงจากองค์คณะตุลาการ รวมถึงประธานศาลฯ
ล่าสุด ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ให้ พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ.2555 หรือ พ.ร.ก.กู้เงิน 350,000 ล้านบาท เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 1 เพราะเห็นว่าเพื่อประโยชน์สาธารณะและอนาคตของประเทศ ซึ่งเป็นกรณีฉุกเฉินไม่สามารถหลีกเหลี่ยงได้ เพราะเป็นปัญหาภายในประเทศที่เกิดขึ้นปลายปีที่ผ่านมาได้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง จึงจำเป็นต้องวางระบบป้องกัน และเพื่อบริหารจัดน้ำในอนาคต
ส่วน พ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2555 หรือ พ.ร.ก.โอนหนี้ 1.14 ล้านล้านบาท ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติ 7ต่อ 2 เพราะเห็นว่า รัฐบาลมีความพยายามแก้ไขหนี้สาธารณะของประเทศ และ ซึ่งอาจจะเป็นภาระในอนาคตของรัฐบาล และยังช่วยเหลือกองทุนฟื้นฟูฯ ให้มีความสามารถชำระหนี้ได้ จึงเห็นว่า เป็นกรณีฉุกเฉินไม่สามารถหลีกเหลี่ยงได้และไม่เป็นการขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 184 วรรค 1 และ วรรค 2
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ในวันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดผู้ร้องและผู้ถูกร้องมาชี้แจงด้วยวาจาแล้ว ก่อนที่จะนัดฟังคำวินิจฉัยในวันนี้ โดยผู้ร้อง คือ นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และ นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ต่างระบุว่า การออก พ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้กองทุนฟื้นฟูฯไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน และ รัฐบาลไม่มีแผนดำเนินงานที่ชัดเจน และ พ.ร.ก.ฉบับนี้จะไม่ส่งผลให้ภาระหนี้ของประเทศลดลง ซึ่งรัฐบาลยังมีเวลาเพียงพอที่จะเสนอเป็นพระราชบัญญัติ ให้สภาผู้แทนราษฎรได้มีโอกาสพิจารณา
ด้านผู้ถูกร้องนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เดินทางไปชี้แจงแทน โดยรองนายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อรักษาความปลอดภัย ความมั่นคงเศรษฐกิจ รวมถึงป้องกันภัยพิบัติ
แท็กที่เกี่ยวข้อง:











