
นับถอยหลัง 41 วัน วิกฤตชีวิตผู้ลี้ภัยชายแดนไทย
20 มิถุนายน ของทุกปี องค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้เป็นวันผู้ลี้ภัยโลก World refugee day เพื่อให้กำลังใจ และเชิดชูความกล้าหาญของผู้ที่ถูกบีบบังคับให้หนีออกจากบ้านเกิด
UNHCR หรือสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ให้นิยามของผู้ลี้ภัยว่าคือบุคคลที่ถูกบังคับให้หลบหนีความขัดแย้งหรือการข่มเหงและข้ามพรมแดนระหว่างประเทศเพื่อแสวงหาความปลอดภัย พวกเขาไม่สามารถกลับคืนสู่ประเทศของตนเองได้หากไม่เสี่ยงต่อชีวิตหรืออิสรภาพ ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ลี้ภัยอยู่ประมาณ 122.1 ล้านคน และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นจากสถานการณ์สงครามและการสู้รบในหลายภูมิภาค
สำหรับประเทศไทย มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ต้องถูกผลักให้กลายเป็นผู้ลี้ภัย เช่น ศาสตราจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จนต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ หรือ นายปรีดี พนมยงค์ นักกฎหมาย นักวิชาการ และนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 7 ที่ลี้ภัยไปประเทศฝรั่งเศสจากผลกระทบการเมือง เช่นกัน

ภาพผู้ลี้ภัยจากนิทรรศการภายในงานวันผู้ลี้ภัยสากล จ.เชียงใหม่
ขณะเดียวกัน ประเทศไทย ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้ลี้ภัยพักพิงอยู่ราว 90,759 คน ณ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2568 ในศูนย์อพยพทั้ง 9 แห่ง พื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี และราชบุรี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเมียนมาที่ถูกผลักดันให้ต้องออกจากบ้านเกิดเมืองนอน จากภัยสงครามและการสู้รบในประเทศ (ที่มาhttps://www.theborderconsortium.org/)
วันนี้ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในกิจกรรมรวมตัวเพื่อรำลึกถึงวันผู้ลี้ภัยสากล ที่ทั้งผู้ลี้ภัย ผู้สนับสนุน และองค์กรช่วยเหลือมารวมกลุ่มกัน เรายังได้ยินเสียงกีต้าร์ และบทเพลงขับขานขับกล่อมและเล่าเรื่องราวของผู้ลี้ภัยชาวปกาเกอะญอในค่ายผู้ลี้ภัย พวกเขาพยายามสื่อสารในคอนเซ็ปต์ “ชุมชนคือรากฐานอันยิ่งใหญ่ Community as a superpower” และร่วมกันพูดคุยถึงสถานการณ์ผู้ลี้ภัยในชาวกะเหรี่ยงในค่ายผู้ลี้ภัยชายแดนไทยที่กำลังใกล้เข้าสู่วิกฤต

ภาพผู้ลี้ภัยจากนิทรรศการภายในงานวันผู้ลี้ภัยสากล จ.เชียงใหม่
หากนับจากวันผู้ลี้ภัยโลกในปีนี้ (20 มิ.ย.) คาดกว่าจะเหลือเวลาอีก 41 วัน (31 กรกฎาคม 2568) ที่งบประมาณที่สนับสนุนด้านอาหาร และด้านอื่นๆ ที่จะทำให้ผู้ลี้ภัยในค่ายผู้ลี้ภัยชายแดนไทยทั้ง 9 แห่งและที่อยู่นอกระบบ จะหมดลง เป็นผลจากนโยบายภายใต้ผู้นำสหรัฐอเมริกา โดนัล ทรัมป์ ที่ระงับความช่วยเหลือโครงการตั้งถิ่นฐานใหม่และยุติบทบาทของหลายหน่วยงานความช่วยเหลือระหว่างประเทศ ส่งผลกระทบผู้ลี้ภัยไม่น้อย 108,000 คน ที่ต้องพยายามดิ้นรนเพื่อหาทางรอด

ภาพผู้ลี้ภัยจากนิทรรศการภายในงานวันผู้ลี้ภัยสากล จ.เชียงใหม่
อาทร ศรีตีรติกาญจน์ The Border Consortium (TBC) เล่าว่า หากยังเป็นเช่นนี้ผู้ลี้ภัย จะได้รับผลกระทบทั้งเรื่องการจัดการ สาธารณสุข การศึกษา อาหารโภชนาการ ที่พักพิง และการหาเลี้ยงชีพ ที่ดูเหมือนไม่เห็นความหวัง จึงพยายามส่งเสียงไปถึงรัฐบาลไทยในส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับอาเซียน เพื่อพิจารณาเรื่องกฎหมาย ให้ผู้ลี้ภัยได้หาเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง ได้ทำงาน ในช่วงที่ไม่มีงบประมาณ ให้พวกเขาพึ่งพาตัวเองได้ ซึ่งหากได้ทำจะสามารถช่วยเรื่องเศรษฐกิจไทยด้วย และเชื่อมโยงไปสู่ด้านสุขภาพ ในการสร้างระบบประกันสุขภาพให้ผู้ลี้ภัย ในและนอกแคมป์ได้ด้วย
อีกส่วนคือด้านมนุษยธรรม ขอให้เปิดจุดผ่อนปรนด้านมนุษยธรรม ให้สามารถส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมได้ และขอให้เด็กมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาในประเทศไทย และพัฒนาระบบการคุ้มครองสิทธิเด็กลูกหลายผู้ลี้ภัยด้วย แต่ยังไม่ความคืบหน้า จึงพยายามจัดเวทีต่างๆ
ให้ประเเทศผู้สนับสนุน ผู้บริจาคได้ช่วยเหลือผู้ลี้ภัยต่อไป เพราะตอนนี้สถานการณ์ในเมียนมายังไม่ดีขึ้น คนเหล่านี้เขายังกลับประเทศไม่ได้

ด้าน ทารามู นาว เดอร์ ซาโพ รองประธานค่ายผู้ลี้ภัยบ้านแม่หละ หนึ่งในเยาวชนที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย เล่าว่า ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2017 ที่มีนโยบายให้ผู้ลี้ภัยกลับประเทศต้นทาง เริ่มมีการลดงบประมาณ โดยเฉพาะการศึกษา ทำให้หลายโรงเรียนมีการปิดตัวลง ผู้ปกครองพยายามหาช่องทางพึ่งพาตนเองให้ลูกหลานได้เรียน สนับสนุนโรงเรียนด้วยการออกมาทำงาน แม้ว่าจะผิดกฎหมาย แต่พวกเขาก็อยากให้ลูกหลานได้ศึกษาเล่าเรียน ขณะเดียวกันการปิดตัวของโรงเรียน ทำให้เกิดการฝากเลี้ยงเด็กๆ นำไปสู่ปัญหาการละเมิดเด็กในค่าย เป็นการเปลี่ยนแปลงช่วงแรก
วิกฤตต่อมา คือการตัดงบด้านสาธารณะสุขโดยทันที และไม่มีการเตรียมรับมือมาก่อน ทำให้เจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานไม่ได้ การส่งต่อผู้ป่วยก็ชะงัก แม้ว่าจะมีความพยายามทำงานของหน่วยงานต่างๆ ในไทยมาสนับสนุน และโรงพยายาบาลจะเห็นใจ ช่วยจ่าย แต่ก็เป็นไปอย่่างจำกัด ทำให้ผู้ป่วยบางส่วนที่ต้องรักษาต่อเนื่องหลายคน ต้องตัดสินใจยุติการรักษา เพราะไม่มีเงินจ่าย ตัดสินใจกลับมาในค่าย และหลายคนเสียชีวิตในเวลาต่อมา

หนึ่งในภาพผู้ป่วยจากนิทรรศการภายในงานวันผู้ลี้ภัยสากล จ.เชียงใหม่
ส่วนเยาวชนในค่ายรู้สึกไม่มีความหวังอะไรเลย บางคนเกิดในค่ายชุมชนชายแดน เป็นผู้ลี้ภัยมา 35 ปี พอมีลูก ก็กลายเป็นผู้ลี้ภัยรุ่นที่3 ส่งต่อความเป็นผู้ลี้ภัยต่อไป ทำให้เยาวชนไม่มีความหวังในชีวิต จึงหันไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือจำนวนหนึ่งก็แต่งงานก่อนวัยอันควร และการะงับการไปประเทศที่3 ทำให้เด็กเรียนแม้จะได้รับการศึกษา มีใบประกาศก็ไม่สามารถนำไปใช้ต่อได้ ออกไปทำงานก็ไม่ได้ ยิ่งตอนนี้งบประมาณค่าอาหารจะไม่พอ
“เราจะอยู่ได้แค่ 41 วัน แต่ยังคงหวังว่าจะมีปาฎิหาริย์เกิดขึ้น มีการสนับสนุนงบประมาณเพิ่ม หรืออย่างน้อยให้พวกเขาออกมาทำงานข้างนอกได้ เพื่อจะให้ดูแลตัวเองได้”
นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการภาพเล่าเรื่องของผู้ลี้ภัย และเครือข่ายสนับสนุนสันติภาพกะเหรี่ยงออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ผู้ลี้ภัยได้สามารถทำงานนอกค่ายได้ถูกกฏหมาย และสนับสนุนความช่วยเหลือ


Locals Thai PBS
นิเวศสื่อสาธารณะท้องถิ่นคุณภาพ