เปิดความเชื่อมโยงเครือข่ายค้ามนุษย์
ข่าวการพบหลุมศพขนาดใหญ่และค่ายหลายแห่งที่อาจถูกใช้เป็นสถานที่กักกันชาวโรฮิงญาและบังคลาเทศในประเทศมาเลเซีย ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางจากสื่อทั้งในและนอกประเทศมาเลเซีย โดยหนังสือพิมพ์อูตูซาน มาเลเซีย รายงานว่า หลุมที่เจ้าหน้าที่พบมีมากกว่า 30 หลุในรัฐเปอร์ลิส ทางตอนเหนือของประเทศ ซึ่งมีพรมแดนติดกับไทย อัดแน่นไปด้วยศพหลายร้อยศพ
ตรงกับข้อมูลที่ไทยพีบีเอสได้รับจากเจ้าหน้าที่บางนาย ซึ่งเป็นภาพถ่ายแคมป์กักกันชั่วคราวในฝั่งมาเลเซีย ที่อยู่ในแนวเขตแดนเดียวกันของเทือกเขาแก้ว ต.ปาดังเบซาร์ จ.สงขลา ซึ่งพบแคมป์ที่พักหลายแห่ง แต่เจ้าหน้าที่ของไทยไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ เนื่องจากอยู่ในแนวเขตของมาเลเซีย แต่ข้อมูลในการพบศพครั้งนี้สามารถนำมาเชื่อมโยงกับการทำสำนวนคดีฟ้องร้องผู้ต้องหาในคดีค้ามนุษย์ที่ได้มีการร่วมมือกับกลุ่มนายหน้าฝั่งมาเลเซีย ซึ่งจะรับช่วงต่อนำคนจากฝั่งไทย ซึ่งเป็นทางผ่านไปยังประเทศปลายทาง คือ มาเลเซีย
บริเวณด่านพรมแดนวังเกลียน รัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย ซึ่งอยู่ติดกับด่านวังประจัน จ.สตูล โดยมีเทือกเขากั้น ซึ่งใช้เวลาแค่ประมาณ 30 นาทีก็สามารถเดินทางไปและกลับจากด่านวังเกลียนมายังด่านปาดังเบซาร์ จ.สงขลา หรือ ด่านอำเภอสะเดา จ.สงขลา ที่อยู่ติดกับด่านบูกิตกายูฮิตัม รัฐเคดาห์ ของมาเลเซีย
เส้นทางเหล่านี้จึงกลายเป็นเส้นทางรอยต่อสายหลัก ในการเคลื่อนย้ายชาวโรฮิงญาและบังคลาเทศ ก่อนจะกระจายแรงงานไปรัฐต่าง ๆ ของมาเลเซีย โดยเฉพาะรัฐเคดาห์ เปอร์ลิส ซึ่งมีความต้องการแรงงานกลุ่มนี้สูง โดยเฉพาะในภาคการเกษตร
นอกจากจะเดินทางผ่านด่านพรมแดนธรรมชาติผ่านอำเภอปาดังเบซาร์แล้ว การหลบหนีเข้ามาเลเซียกลุ่มนายหน้าก็จะผลักดันเข้าทางทะเล ผ่านเกาะลังกาวี ทำให้ในปัจจุบันทางการมาเลเซียต้องจัดชุดเฝ้าระวังชายหาด และลาดตะเวนทางน้ำเพื่อจัดหามาตราการป้องปรามการเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายของคนกลุ่มนี้