เครือข่ายพลฯ นัดหน้าค่ายเสนาณรงค์ 25 พ.ค. ยื่นหนังสือให้ทหารยุติสนับสนุนโรงไฟฟ้าเทพา

สิ่งแวดล้อม
24 พ.ค. 59
11:55
857
Logo Thai PBS
เครือข่ายพลฯ นัดหน้าค่ายเสนาณรงค์ 25 พ.ค. ยื่นหนังสือให้ทหารยุติสนับสนุนโรงไฟฟ้าเทพา
นัดหน้าค่ายเสนาณรงค์ หาดใหญ่ พรุ่งนี้ (25 พ.ค.) เครือข่ายพลเมืองสงขลาโต้ทหารหยุดหนุนโรงไฟฟ้าเทพา จวกทำเกินหน้าที่หนุนกฟผ.ออกนอกหน้า เตือนระวังการสร้างปัญหาเพิ่มในพื้นที่ขัดแย้ง

วันนี้ (24 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอสออนไลน์รายงานว่า เครือข่ายพลเมืองสงขลา เครือข่ายคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน และเปอมาตามาส นัดรวมตัวที่หน้าค่ายเสนาณรงค์อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา วันที่ 25 พ.ค. เวลา 10.00 น. เพื่อยื่นหนังสือถึง พล.ต.วิรัชช์ กมลศิลป์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 42 ให้ยุติการสนับสนุนโรงไฟฟ้าเทพา หลังจากเมื่อวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.วิรัชช์ ส่งหนังสือเลขที่ กห. 0484.63/113 ลงวันที่ 21 เม.ย.2559 เรื่อง ขอความร่วมมือการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ถึงอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

ซึ่งแกนนำเครือข่ายต่างๆ ระบุการรวมตัวในวันที่ 25 พ.ค. เพื่อเป็นการแสดงออกให้ทหารหยุดคุกคามนักวิชาการ ให้มีความเป็นกลาง ยุติการคุกคามกลุ่มคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน และขอให้ยกเลิกหนังสือฉบับดังกล่าว

สำหรับกรณีดังกล่าวสืบเนื่องจาก วันเดียวกัน (24 พ.ค.) นายเอกชัย อิสระทะ ผู้ประสานงาน เครือข่ายพลเมืองสงขลา ส่งหนังสือ ที่ คพส.04/2559 เรื่อง ขอความร่วมมือในการยุติบทบาทการสนับสนุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาของทหาร เรียน พล.ต.วิรัชช์ กมลศิลป์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 42 อ้างถึง หนังสือ กห 0484.63/1113 ลงวันที่ 21เมษายน 2559

ระบุว่า เครือข่ายพลเมืองสงขลา เป็นกลุ่มบุคคลในพื้นที่จังหวัดสงขลา ที่ตระหนักในสิทธิและหน้าที่ความเป็นพลเมือง เราได้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์พัฒนาบ้านเมืองมาโดยตลอด เพื่อคุณภาพชีวิต สุขภาวะ เศรษฐกิจ สังคม รวมถึงการรักษาดูแลฐานทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม

เครือข่ายฯ ขอใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 มาตรา 4 ที่รับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข...
ขอกล่าวถึงหนังสือ กห 0484.63/1113 ลงวันที่ 21เมษายน 2559ของท่าน ที่ส่งถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ อันมีเนื้อหาใจความสำคัญ คือ “การขอความร่วมมือในการทำความเข้าใจกับบุคลากรที่เคลื่อนไหวและต่อต้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา”
เครือข่ายพลเมืองสงขลาขอแสดงความคิดเห็นต่อการทำหนังสือฉบับนี้ ดังนี้
1.การทำหนังสือดังกล่าวเป็นการทำเกินอำนาจหน้าที่ สะท้อนถึงวิธีคิด และการไม่เข้าใจต่อความเป็นจริงของสังคม
2.การทำหนังสือฉบับดังกล่าว เป็นการละเมิดสิทธิ และเป็นการคุกคามสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และเสรีภาพทางวิชาการ

 

เครือข่ายพลเมืองสงขลา ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับท่านว่า กรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินซึ่งไม่เคยมีอยู่ในแผนของจังหวัดมาก่อน ปัจจุบันเรามีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติ จะนะ จำนวน 2 โรง กำลังการผลิต 1,500 เมกกะวัตต์ ในขณะที่จ.สงขลา เรา ใช้ไฟฟ้าสูงสุดเพียง 480 เมกกะวัตต์ ในปี 2557 กำลังการผลิตนี้มากเพียงพอต่อ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่างอยู่แล้ว
อีกประเด็นคือ ปัญหามลพิษที่มากับโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ก่อสร้างมาก่อนแล้ว อย่างกรณีโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต มีคำพิพากษาของศาลออกมาแล้ว ให้ กฟผ.แก้ไขปัญหา แต่กฟผ. ก็ยังไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ เราจึงออกมาร่วมกันคัดค้านด้วยเหตุผลเบื้องต้น ดังกล่าว

การคัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน เรามีข้อเสนอในการจัดการพลังงานใหม่ทั้งระบบ พร้อมทางเลือกในการจัดการพลังงาน หากแต่เรื่องราวเหล่านี้ต้องอาศัยการพูดคุยปรึกษาหารือกัน การที่นักวิชาการหลายท่านได้ออกมาตั้งข้อสังเกต ออกมาให้ข้อมูล รวมถึงการศึกษาวิจัยร่วมกับประชาชนในพื้นที่ในการแสวงหาทางเลือกทางออกให้กับสังคม ย่อมเป็นสิ่งที่ดี แต่หนังสือฉบับดังกล่าวของท่าน ถึงแม้จะใช้คำสวยๆ นิ่มๆ หากแต่แสดงนัยยะแฝงถึงการสกัดกั้นการแสดงออกทางความคิดของกลุ่มคนที่เห็นต่าง ซึ่งบทบาทเหล่านี้ ไม่ควรเป็นบทบาทของทหารในยุคปฏิรูป ซึ่งแนวทางการปฏิรูปพลังงานไทยไม่ใช่แนวทางการใช้พลังงานถ่านหินอย่างแน่นอน

เครือข่ายพลเมืองสงขลา ต้องการสังคมที่ดี การเปิดพื้นที่พูดคุยจึงมีความจำเป็น นี้เป็นเรื่องความมั่นคงของประชาชน การใช้พลังงานถ่านหินจะทำลายฐานทรัพยากรในการดำรงชีวิตมีความสำคัญและจำเป็นของเราจึงขอความร่วมมือจากท่าน ขอให้ท่านให้ความร่วมมือกับประชาชน โดยยุติบทบาทการสนับสนุนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา และขอคืนหนังสือฉบับดังกล่าว เปลี่ยนบทบาทมาเป็นคนกลางจัดเวทีนำข้อมูลของทั้งสองสามฝ่ายที่มีความคิด และข้อมูลต่างกันมาเปิดให้ประชาชน สาธารณะชนได้พิจารณาอย่างตรงไปตรงมา นำไปสู่การปฏิรูปจริงๆ

 ขอบคุณภาพ : WAY

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ หนังสือ กห 0484.63/1113 ลงวันที่ 21เมษายน 2559 ลงนามโดย พล.ต.วิรัชช์ กมลศิลป์ ผบ.มณฑลทหารบกที่ 42 ถึงอธิการบดี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ระบุขอความร่วมมือการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ส่งถึงมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เมื่อวันที่ 2 พ.ค.2559 เวลา 13.30 น. ตามเลขรับหนังสือที่ 2508

จากนั้นอธิการบดี จึงแทงหนังสือ เมื่อวันที่ 10 พ.ค. ระบุว่า
- สำเนาแจ้งคณบดีคณะวิศวะฯ เพื่อแจ้งบุคลากรที่ไปดูงานร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เพื่อทราบด้วย
- สำเนาแจ้งคณบดีคณะวทท. เพื่อแจ้ง ดร.สมพร เพื่อทราบด้วย
- ให้นัดบุคลากร/ อาจารย์ไปดูงานที่ญี่ปุ่นร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตมาประชุมกับผมด้วย

หมายเหตุ : นัดประชุมหารือในวันที่ 25 พ.ค.59 เวลา 08.30-09.30 น. ณ ห้องประชุม 2 สนอ.วข.หาดใหญ่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับหนังสือที่ พล.ต.วิรัชช์ กมลศิลป์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 42 ส่งถึงอธิการบดี มอ.ระบุว่า เรื่อง ขอความร่วมมือการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา เรียน อธิการบดี มอ.หาดใหญ่

ตามที่มีกลุ่มมวลชนมีการเคลื่อนไหวและต่อต้าน กรณีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาในพื้นที่จังหวัดสงขลา โดยมีกลุ่มแกนนำในพื้นที่, และพื้นที่ใกล้เคียง, กลุ่มข้าราชการ, กลุ่มนักวิชาการ และกลุ่มประชาสังคม หรืออาจมีบุคลากรในหน่วยงานของท่านบางคนไม่เข้าใจการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา อาจหันไปให้การสนับสนุนให้ความร่วมมือ มณฑลทหารบกที่ 42 จึงขอความร่วมมือจากท่านทำความเข้าใจกับบุคลากร เพื่อให้ทราบถึงวิธีการดำเนินงานในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา

ด้าน ดร.สมพร ช่วยอารีย์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า เพิ่งได้รับหนังสือสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จากเพื่อนร่วมงาน เป็นหนังสือที่ กห. 0484.63/113 ส่งมาจากมณฑลทหารบกที่ 42 (มทบ.42) ค่ายเสนาณรงค์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ลงวันที่ 21 เม.ย.2559 เรื่อง ขอความร่วมมือการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา เรียน อธิการบดี ม.อ.หาดใหญ่

“ในฐานะที่ผมเป็นนักวิชาการ เหตุผลที่ว่า ทำไมผมออกมาตั้งคำถามกับโรงไฟฟ้าถ่านหิน ผมตั้งคำถามเพื่ออะไร ในทางวิชาการมีเหตุผลแน่นอน แต่ผมขอเสนอว่า ม.อ.น่าจะเปิดเวทีดีเบตเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินกันสักยกก็คงจะดีนะครับ อาจจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมครับ กรณีการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาเป็นเรื่องที่สำคัญกับคนที่จะได้รับผลกระทบและระบบนิเวศโดยรวม จะมาใช้วิธีการบังคับทุกคนที่มีความเห็นต่างไม่ใช่สิ่งที่ดี ต้องเปิดเวทีพูดคุยข้อมูลกันอย่างจริงจัง” ดร.สมพรกล่าว

ด้านนายประสิทธิชัย หนูนวล ผู้ประสานงานเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน กล่าวว่า จดหมายฉบับนี้เป็นเกมขั้นถัดมาหลังจากที่ กฟผ. ชงให้มีการประมูลโรงไฟฟ้าถ่านหิน ผมรู้ว่าพวกคุณเตรียมมาตรการขั้นต่อไปเอาไว้แล้ว เพื่อบังคับให้เกิดการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เทพาให้จงได้ แต่ขอเตือนพวกทหารเอาไว้ก่อนว่า สิ่งที่พวกคุณต้องเผชิญนั้น นอกจากกระแสโลกแล้ว พวกคุณยังไม่สำนึกว่าการทำลายศาสนสถานของพี่น้องมุสลิมในพื้นที่การสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพานั้นจะเกิดอะไรตามมา

“หนังสือฉบับนี้เขียนได้ดูดีมาก เสมือนไม่สั่งการ ว่าให้จัดการฝ่ายคัดค้าน ผบ.มทบ.42 เขียนตรงๆ ไปเลย ว่า อยากให้อธิการบดี มอ.จัดการกับฝ่ายคัดค้าน จดหมายฉบับนี้ จะต้องเผยแพร่ไปทั่วโลก ว่า ในขณะที่ทั้งโลกกำลังเรียกร้องเรื่องนี้ ทหารไทยกลับมีพฤติกรรมตรงกันข้าม” นายประสิทธิชัยกล่าว

ด้านนายบรรจง นะแส กรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่าในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มีอาจารย์สองท่าน ที่มีความสนใจปัญหาเรื่องพลังงานของประเทศมาก คือผศ.ประสาท มีแต้ม และดร.สมพร ช่วยอารีย์ ทั้งสองท่านได้ทำหน้าที่ในบทบาทของนักวิชาการที่ขยันขันแข็งและตรงไปตรงมา มีการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย ลูกศิษย์ลูกหารักใคร่กราบไหว้ด้วยความเคารพ การที่ผบ.มท.42 ออกหนังสือถึงท่านอธิการบดีเสมือนปรามบทบาทของนักวิชาการ ที่ทำหน้าที่ของเขา

“จากหนังสือฉบับดังกล่าว มีคำถามตามมามากมาย 1.ท่านกำลังละเมิดสถาบันการศึกษาอย่างรุนแรง (แม้จะใช้ภาษาการทูต แต่วิญญูชนย่อมอ่านแล้วเข้าใจเจตนาท่านดี 2.ท่านกำลังทำตัวเกินบทบาทหน้าที่โดยเสมือนประกาศสนับสนุนโรงไฟฟ้าถ่านหินอย่างน่าอายที่สุด ถ้าท่านคิดว่าท่านบริสุทธิ์ใจขอให้ท่านเปิดเวทีแล้วตอบคำถามของนักวิชาการ และฝ่ายที่คัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหิน ว่าท่านมีเหตุผลไดที่สนับสนุน ถ้าท่านตอบได้ทุกคำถาม ถือว่าท่านได้ศึกษาหาความรู้มามากพอ จึงสนับสนุนโดยบริสุทธิ์ ถ้าท่านตอบไม่ได้ท่านควรขอโทษท่านอธิการบดี และขอย้ายตัวเองออกนอกพื้นที่ เพราะท่านได้ทำให้กองทัพมัวหมอง ในกรณีดังกล่าว เพราะทำตัวไม่เหมาะสม ไม่เป็นกลาง สร้างความขัดแย้งขึ้นในพื้นที่อย่างไร้วุฒิภาวะ ที่จะเป็นหัวหน้าหน่วยที่สำคัญของกองทัพภาคที่ 4 ในพื้นที่ของความขัดแย้งที่คุกรุ่นในจ.สงขลา 3.ในฐานะคนสงขลา ในฐานะศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์และในฐานะกรรมการส่งเสริมฯของมหาวิทยาลัย ผมขอประนามการกระทำดังกล่าวของท่าน ที่ละเมิดสถาบันการศึกษา และที่มีท่าทีข่มขู่บุคคลากรทางวิชาการของมหาวิทยาลัย มา ณ โอกาสนี้”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง