วันนี้ (8 มิ.ย. 2559) นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงการดูแลสุขภาพในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงว่า ขอให้ประชาชนหันมาใส่ใจสุขภาพให้มากขึ้นเป็นพิเศษในช่วงหน้าฝน เพื่อให้ร่างกายสามารถปรับสภาพต่อการเปลี่ยนแปลงของอากาศ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคไข้หวัดได้ง่ายกว่ากลุ่มอื่น ๆ นอกจากนี้ เมื่อเป็นไข้หวัดแต่ไม่รู้วิธีการดูแลสุขภาพที่ดี อาจส่งผลให้โรคลุกลามกลายเป็นโรคหลอดลมอักเสบและปอดบวมได้
โดยข้อมูลเฝ้าระวังโรคจากทุกจังหวัดในประเทศไทย ของสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 29 พ.ค. 2559 พบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่แล้ว 49,720 ราย ขณะที่พบผู้ป่วยโรคปอดบวม ตั้งแต่ 1 ม.ค.-30 พ.ค. 2559 ทั้งสิ้น 87,605 ราย
นพ.วชิระ กล่าวต่ออีกว่า ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงต้านทานโรคได้ดีคือกินอาหารดีมีประโยชน์ ปรุงด้วยสมุนไพรไทย เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ ใบกะเพรา กระชาย เป็นต้น เพราะเป็นอาหารที่มีความเผ็ดร้อน เป็นการเพิ่มอุณหภูมิให้แก่ร่างกาย ในแต่ละมื้ออาหารควรมีผักหรือผลไม้ตามฤดูกาลที่ให้ผลผลิตในหน้าฝน เช่น มะเขือเปราะ มะนาว ถั่วพู ชะอม ผักหวาน ใบขี้เหล็ก เห็ดโคน กล้วยน้ำว้า ส้มโอ มะเฟือง และส้มเขียวหวาน ซึ่งนอกจากราคาถูกแล้วยังมีสารตกค้างจากยาฆ่าแมลงน้อยกว่าผลไม้นอกฤดูกาล
“โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวตามธรรมชาติและผักใบเขียว นับเป็นแหล่งของวิตามินซี ซึ่งช่วยเพิ่มภูมิต้านทานในร่างกายลดโอกาสการเกิดโรคหวัด ทั้งนี้ เวลาปรุงอาหารไม่ควรให้ความร้อนนานเกินไปเพราะจะทำให้วิตามินซีถูกทำลาย หรือเลือกกินผักผลไม้สดแทน” อธิบดีกรมอนามัย ระบุ
นพ.วชิระ กล่าวว่า นอกจากการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ ประชาชนควรหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-5 วัน วันละ 30 นาที ก็เพียงพอที่จะเกิดภูมิคุ้มกัน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้สุขภาพดีในช่วงหน้าฝนแล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพที่ดีในระยะยาวอีกด้วย