วันนี้ (10ส.ค.2559) นายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย ระบุว่าจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลให้ยอดขายบ้านในช่วงครึ่งปีแรกขยายตัวไม่มากนักตลาดอสังหาริม ทรัพย์ครึ่งแรกของปีนี้ มียอดสินเชื่อคงค้างเติบโตร้อย 7 หรือประมาณ 3.1 ล้านล้านบาท ส่วนแนวโน้มครึ่งปีหลัง การเติบโตของสินเชื่อดังกล่าว คาดว่ายังเฉลี่ยที่ร้อยละ 5 เนื่องจากทั้งธนาคารและประชาชนยังระมัดระวังการก่อหนี้ ภายใต้ภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังเพิ่มขึ้นทำให้การซื้อน่าจะชะลอลงบ้าง ทั้งนี้พบว่ายอดการถูกปฏิเสธสินเชื่อมีเพิ่มขึ้นร้อย10-15 โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือเอสเอ็มอี
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าต้องการสร้างระบบให้คนไทยออมเงินเพิ่มขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ จากปัจจุบันที่คนไทยนิยมการขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยโดยไม่มีการออมเริ่มต้นจึงทำให้หนี้เสียสูง จึงสั่งการให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส.หาแนวทางดำเนินการ
ด้านนายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธอส. ระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่จะนำระบบการออมเงินก่อนกู้แบบในประเทศเยอรมันมาปรับใช้ในประเทศไทย โดยในเบื้องต้นจะนำร่องในกลุ่มนักศึกษาจบใหม่หรือวัยเริ่มต้นทำงาน ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ให้ออมเงินเพื่อที่อยู่อาศัย แบบกลุ่มลักษณะใกล้เคียงการเล่นแชร์ ซึ่งคาดว่าจะปล่อยกู้ในช่วงแรกวงเงิน 10,000 ล้านบาท พร้อมจะเจรจากับกองทุนประกันสังคมเพื่อนำเงินดังกล่าวมาใช้ในโครงการนี้ ซึ่งจะคิดอัตราดอกเบี้ยของโครงการดังกล่าวกับผู้กู้ต่ำกว่าร้อยละ 2 เพื่อปล่อยสินเชื่อได้ภายในปีนี้
ทั้งนี้ หลักในการปล่อยสินเชื่อดังกล่าว ธนาคารจะเป็นตัวกลางในการรวมกลุ่มของประชาชนที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกันเพื่อให้ออมเงินร่วมกัน โดยจะกำหนดวงเงินการออมตามที่ธนาคารกำหนด หรือร้อยละ 40 ของเงินสินเชื่อที่ต้องการ หากในกลุ่มมีรายใดได้รับสินเชื่อแล้ว ให้ผันเงินที่เคยออมดังกล่าวไปเป็นเงินจ่ายคืนสินเชื่อต่อไป