วันนี้ (23 ธ.ค.2559) น.ส.เบญจคุณ แสงทองพราว อาจารย์ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ด้วงก้นกระดก หรือ แมลงก้นกระดกจัดอยู่ในกลุ่มของด้วง วิธีสังเกตแมลงชนิดนี้มีลักษณะเฉพาะคือ ปีกคู่หน้าสั้น ไม่คลุมส่วนท้อง แข็ง ลำตัวยาว 7-8 มิลลิเมตร และมีสีดำสลับส้ม
สำหรับด้วงชนิดนี้พบในเขตร้อนชื้นโดยเฉพาะช่วงปลายฝนต้นหนาว มักอาศัยอยู่ในดินและไม่กัด หรือ ต่อย ดังนั้นเมื่อพบด้วงชนิดนี้ ห้ามตี หรือ บดขยี้ เพราะอาจได้รับสารพิษที่อยู่ในตัวแมลงที่มีชื่อว่า "เพเดอริน" ออกมาเพื่อป้องกันตัว ทำให้เกิดแผลพุ พอง เป็นตุ่มน้ำขึ้นมาและแสบคัน ส่วนความรุนแรงของแผลขึ้นกับปริมาณที่ถูกพิษและภูมิต้านทานของแต่ละคน
อาจารย์ภาควิชากีฏวิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า วิธีป้องกันตัวหากด้วงก้นกระดกบินมาเกาะนั้นควรปัดออกเบาๆ หรือหาอุปกรณ์มาครอบและนำไปปล่อยบริเวณอื่น ส่วนเด็กเล็กอย่าให้จับด้วงมาเล่น นอกจากนี้ควรทำความสะอาดบ้านให้สะอาด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแมลงรอบบ้าน เนื่องจากด้วงก้นกระดก จะกินแมลงชนิดอื่นเป็นอาหาร
ขณะที่ น.พ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า พิษส่วนใหญ่จะทำให้เกิดผื่นแพ้ที่ผิวหนังเฉียบพลันแต่ไม่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตแต่จะมากหรือน้อยขึ้นกับปริมาณพิษที่สัมผัส และอาการหลังสัมผัสพิษใน 24 ชั่วโมงแรก ผิวหนังจะมีผื่นแดง คัน แสบร้อน เกิดเป็นแผลพุพองภายใน 48 ชั่วโมง การอักเสบอาจขยายวงใหญ่ขึ้น จากนั้นจึงตกสะเก็ด และจะหายเองภายใน 7-10 วัน
สำหรับ ผู้ป่วยที่เป็นรุนแรงผิวหนังจะอักเสบหลายแห่ง คล้ายงูสวัด บางคนอาจมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเส้นประสาท ปวดกล้ามเนื้อ อาเจียน เป็นผื่นบวมแดงติดต่อกันหลายเดือน และหากพิษเข้าตาอาจทำให้ตาบอดได้ ทั้งนี้ เมื่อสัมผัสพิษให้ล้างด้วยน้ำเปล่า ฟอกสบู่ หรือเช็ดด้วยแอมโมเนีย แล้วใช้ยาปฏิชีวนะประเภทครีม ทาบริเวณที่ถูกพิษ และหากมีอาการคัน หรือปวดแสบปวดร้อนให้ทาด้วยน้ำยาคาลาไมล์ แล้วไปพบแพทย์ หรือ โทรสายด่วน 1669