วันนี้ (17 ก.พ.2560) ภายหลังคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติเดินหน้าโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ 800 เมกะวัตต์
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลใช้มาตรการที่เหมาะสมในการทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ ทำให้โครงการล่าช้ามากว่า 2 ปี แต่จากนี้ต้องเดินหน้าตามขั้นตอนของกฎหมาย
ขณะที่ พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ระบุว่า จากสถิติย้อนหลังตั้งแต่ปี 2549-2559 พบว่า ภาคใต้มีการเติบโตของการใช้ไฟฟ้าขยายตัวมากที่สุด เมื่อเทียบภาคอื่นๆ คือร้อยละ 4.7 ขณะที่ภาคกลาง ร้อยละ 3.7 และกรุงเทพฯ ร้อยละ 2.4 หากโครงการนี้ล่าช้าออกไปอีกจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในการใช้พลังงาน โดยการปลดล็อคโรงไฟฟ้าจะดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อมและใบขออนุญาต หากผ่านมาตรฐานก็ดำเนินการต่อได้ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้เร็วที่สุดช่วงต้นปีหน้า และจ่ายไฟฟ้าได้ช่วงปลายปี 2564 หรือต้นปี 2565 พร้อมยืนยันว่า ถ่านหินสะอาด มีความปลอดภัยและไม่ปล่อยมลพิษ
นายวัฒนา ธนะศักดิ์เจริญ ประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้ ระบุ ตนเองกังวลว่ามติ กพช.ในครั้งนี้ อาจทำให้เกิดความขัดแย้งรอบใหม่ในพื้นที่ ระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนให้สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินและภาคธุรกิจท่องเที่ยวที่กังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมยอมรับว่าความต้องการไฟฟ้าในภาคใต้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่รัฐบาลยังไม่เป็นต้องรีบตัดสินใจเดินหน้าโครงการ และควรทบทวนข้อเสนอด้วยการใช้พลังงานทดแทนจากปาล์ม หากไม่เพียงพอก็ค่อยพิจารณาสร้างโรงไฟฟ้า โดยตั้งข้อสังเกตว่า การสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินภาคใต้ ดำเนินการเพื่อรองรับอุตสาหกรรมหนัก