วานนี้ (19 ธ.ค.2560) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยกนาฬิกาให้สื่อมวลชนดู หลังถูกสื่อตั้งคำถามถึงนาฬิกาที่สวมใส่อยู่บนข้อมือพร้อมกับระบุว่า มีนาฬิกาอยู่หลายเรือน แต่ได้แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สินที่ได้ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ไว้แล้ว รับรองว่า ไม่ทำผิดกฎหมาย โดยมีรายงานว่า นาฬิกาเรือนที่นายกรัฐมนตรี สวมเป็นนาฬิกายี่ห้อไซโก้ เรือนทองชมพู จับเวลา สายหนังดำ 250,000 บาท ซึ่งเป็นรายการนาฬิการายการที่ 2 ที่แจ้งไว้กับ ป.ป.ช.
พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้โชว์นาฬิกาที่สวมอยู่ตามคำขอของสื่อมวลชน โดยได้พูดติดตลกว่า “ใส่ยี่ห้อไซโก้ ใส่แล้วโก้ไหม ใส่อะไร ก็เหมือนกัน ผมรู้ว่าต้องการให้โชว์เพื่อให้เป็นประเด็น วันหน้าจะต้องห้อยคอกับนาฬิกาปลุกไหม”
ส่วนกรณีที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำลังถูกตรวจสอบเรื่องการครอบครองแหวนและนาฬิกาหรู ซึ่งไม่ปรากฎในบัญชีทรัพย์สินทั้ง 4 ครั้งที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า เป็นเรื่องของหน่วยงานที่รับผิดชอบคือ ป.ป.ช.ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวของ พล.อ.ประวิตร จะดำเนินการเอง ไม่มีใครไปดูแลหรือปกป้องได้
ขณะที่นายวรวิทย์ สุขบุญ รักษาราชการแทนเลขาธิการ ป.ป.ช.เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร ยังไม่ได้ส่งเอกสารชี้แจงกรณีนาฬิกาหรูมายัง ป.ป.ช. ซึ่งตามกรอบเวลาสามารถยื่นได้ไม่เกินวันที่ 8 มกราคม 2561

พร้อมยืนยันว่า ป.ป.ช. ไม่ได้ประวิงเวลา และยังคงทำงานอยู่กระบวนการของกฎหมาย โดยต้องรอคำชี้แจงทรัพย์สินทั้งหมดที่ครอบครองอยู่ ซึ่งหากมีการระบุชื่อบุคคลอื่นให้ยืมใส่ ก็ต้องเรียกมาให้ข้อมูลเช่นกัน
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตถึงรายได้ของพล.อ.ประวิตร ที่มีการอ้างว่า ในช่วงปี 2551-2557 มีเงินเดือนและประจำตำแหน่งรมว.กลาโหม และเงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการรวม 12 ล้านบาท แต่ พล.อ. ประวิตรกลับมีทรัพย์สินรวมที่เพิ่มขึ้น 30.5 ล้านบาท นายวรวิทย์ กล่าวว่า พยานหลักฐานเหล่านี้ป.ป.ช.มีอยู่แล้ว
โฆษกกลาโหม ชี้เพจเชียร์ลุงป้อม ของปลอม
ด้าน พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่มีบุคคลตั้งเพจเฟซบุ๊กที่ชื่อว่า "มั่นใจคนไทยทั้งแผ่นดิน เชียร์ลุงป้อม" และมีคนเข้าไปวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางนั้นว่า เพจดังกล่าว ไม่ใช่ ของพล.อ.ประวิตร หรือทีมงานแต่อย่างใด และกระทรวงกลาโหม ไม่มีนโยบายทำงานในลักษณะดังกล่าว จึงคาดว่าผู้ที่ไม่หวังดีกลุ่มนี้ มีเป้าประสงค์สร้างความแตกแยกให้เกิดในสังคม โดยใช้การโจมตี พลเอก ประวิตร เป็นเครื่องมือปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้งทางอารมณ์