หลัง "ไอติม" หรือนายพริษฐ์ วัชรสินธุ ปลดประจำการ ก้าวออกจากมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) เมื่อวานนี้ (31 ต.ค.) เปิดใจกับไทยพีบีเอสออนไลน์ถึงอนาคตทางการเมือง เริ่มตั้งแต่ภารกิจภายในพรรคประชาธิปัตย์ ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ น้าของ "ไอติม" อยู่ระหว่างชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค รวมถึงอนาคตทางการเมืองในสนามเลือกตั้ง ปี 2562
ที่มา เฟซบุ๊กพริษฐ์ วัชรสินธุ
สิ่งที่ "ไอติม" จะทำเป็นอย่างแรกคืออะไร ? "ไอติม" ตอบว่า คือการเข้าสู่การเมืองเต็มตัว เพราะมีสถานะเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ โดยภารกิจแรกคือลงคะแนนหยั่งเสียงหัวหน้าพรรค เป็นสิ่งที่ตื่นเต้นและสำคัญ เพราะประชาธิปัตย์เป็นพรรคแรกที่ให้สิทธิ์สมาชิกเลือกหัวหน้า
อันนี้บ่งบอกที่สุดว่าเป็นประชาธิปัตย์ มองว่าเป็นจุดเด่น แต่ไม่อยากให้ทำแค่พรรคเดียว อยากให้พรรคอื่นทำด้วย เพราะอยากให้เกิดการปฏิรูป
เปิดตัวเลือดใหม่ประชาธิปัตย์
ทั้งนี้โครงการที่จะเดินหน้านับจากนี้ คือ 1.การทำนโยบาย เพราะส่วนตัวพยายามเก็บเกี่ยวความรู้ตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา ทั้งการเรียนรู้จากเอกชนและโซเชียลเอ็นเตอร์ไพรซ์ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน การศึกษา และนโยบายภาพรวม
2. การเปิดตัวคนรุ่นใหม่พรรคประชาธิปัตย์ หลังเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคเสร็จ ซึ่งคนรุ่นใหม่ไม่ใช่แค่อายุน้อย แต่ต้องมีบทบาทชัดเจน เพราะถือว่าเป็นคนมีส่วนได้-ส่วนเสียกับนโยบายโดยตรง
เรื่องที่จะทำ เช่นเรื่องแอลจีบีที เพศเดียวกันแต่งงานกันได้ เป็นสิทธิพื้นฐาน ผมไม่เห็นด้วยกับพ.ร.บ.คู่ชีวิต ดีที่สุดคือการแก้กฎหมาย อยากเปลี่ยนเป็นเรื่องคนสองคนที่รักกันแต่งงานกันได้
นอกจากนี้ "ไอติม" ยังเตรียมเสนอเรื่องการปรับ "ระบบการเกณฑ์ทหาร" หลังจากมีประสบการณ์ตรงจากการฝึกทหารและได้เรียนรู้ชีวิตของทหารในหลายระดับ ซึ่งจะขอเปิดเผยรายละเอียดด้วยตนเองเร็วๆ นี้
ที่มา เฟซบุ๊กพริษฐ์ วัชรสินธุ
ความแตกต่างกันของผู้คนในค่ายทหารสอนอะไร ? "ไอติม" บอกว่าได้เรียนรู้การใช้ชีวิต 3 ข้อสำคัญ ได้แก่ 1.เรียนรู้กองทัพมากขึ้นทั้งข้อดี-ข้อเสีย รวมถึงการเกณฑ์ทหาร เพราะมีโอกาสฟังมุมมองนายทหารหลายระดับ และเห็นชีวิตคนที่หลากหลาย
2. ได้เรียนรู้สังคมไทย-เพื่อนคนไทยมากขึ้น ไม่มีโอกาสดีกว่านี้แล้วที่ได้จะได้กินข้าวหม้อเดียวกัน อาบน้ำอ่างเดียวกันกับเพื่อนเป็นร้อย
เห็นง่ายเลยคือเด็ก 2 คนต่างกัน แม้มีศักยภาพเท่ากัน คนหนึ่งอาจไปได้ไกลกว่า คนหนึ่งไปได้ไม่ไกล เพราะปัจจัยที่คุมไม่ได้
3. ได้เรียนรู้ตนเองมากขึ้น รู้ว่าตัวเองโชคดี และจากนี้จะต้องสร้างสมดุลชีวิต ที่ผ่านมาเคยใช้เวลากับงาน กระทั่งเข้ามาในค่ายจึงรู้ว่าสิ่งแรกที่คิดถึงไม่ใช่เรื่องงาน แต่กลับเสียดายเวลาที่จะได้กินข้าวกับพ่อแม่ ดังนั้นจากนี้ไปต้องมีสมดุลเรื่องนี้
พร้อมลง ส.ส.
"ไอติม" ตั้งใจลงสมัคร ส.ส. เลือกตั้งปีหน้า ? " ผมเป็นสมาชิกพรรค เจตจำนงคืออยากจะเป็นผู้สมัครของพรรค ก็ขึ้นอยู่กับกรรมการและคณะกรรมการสรรหาว่าผมเหมาะไหม ถ้าเหมาะ จะเหมาะกับ ส.ส.เขต หรือ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ก็ต้องว่ากันไป"
เมื่อถามถึงความพร้อมทางเมือง "ไอติม" เล่าความตั้งใจตั้งแต่เด็ก เริ่มจากความสงสัยเกี่ยวกับบุคคลทางการเมืองตั้งแต่อายุ 9-10 ปี เช่น เมื่อเจอป้ายหาเสียงก็เกิดคำถามว่าคนเหล่านี้คือใคร
ที่มา เฟซบุ๊กพริษฐ์ วัชรสินธุ
กระทั่งได้ทุนเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ พบว่าเป็นประเทศที่การปกครองไม่ต่างจากไทย แต่มีความเหลื่อมล้ำต่างกัน เช่น คนอังกฤษเลือกเรียน เลือกรักษาพยาบาลใกล้บ้าน แต่ของไทยไม่ใช่ เพราะยังมีความเหลื่อมล้ำ จึงอยากกับมาพัฒนาบ้านเมืองตัวเอง
ผมเลือกเรียนเศรษฐศาสตร์และการเมือง เลือกวิเคราะห์นโยบาย และทำงานพาร์ทไทม์ในองค์กรที่ศึกษาการคอร์รัปชัน เพราะจะได้นำความรู้มาพัฒนาบ้านเมือง ผมพร้อมเสนอตัวเป็นผู้แทนฯ
ส่วนแรงบันดาลใจจาก "อภิสิทธิ์" ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีอายุน้อยที่สุดของประเทศไทย กลับได้คำตอบจาก "ไอติม" ผิดคาด! เพราะทั้งคู่ไม่ได้สนิทกันแต่แรก
"ไอติม" เล่าว่า ครอบครัวเวชชาชีวะ มีญาติ 2 คนที่อยู่ในวงการเมือง คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ แกนนำพรรคเพื่อไทย เมื่อตอนอายุ 16 ปี จึงมีโอกาสได้ฝึกงานกับพรรคประชาธิปัตย์ และได้เห็นการทำงานของนายอภิสิทธิ์ ความประทับใจจึงอยู่ที่การทำงาน
ผมไม้ได้นับถือเขาเพราะสายเลือด แต่เห็นเขามีความรู้ความสามารถ เขารู้ลึกและรู้กว้าง
แหละนี่คือการสัมภาษณ์ขั้นต้นของ "ไอติม" หลังประกาศความพร้อมเข้าสู่สนามการเมือง และเชื่อว่าคนไทยจะได้เห็นชีวิตทางการเมืองของเข้าในเร็ววันนี้