วันนี้ (20 มี.ค.62) พล.ต.ต.ปรีชา เจริญสหายานนท์ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติให้วันอาทิตย์ที่ 24 มี.ค.62 เป็นวันเลือกตั้ง ส.ส. และรัฐบาลได้ประกาศให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส. ตามภูมิลำเนาของตน พร้อมทั้งกำหนดให้การซื้อสิทธิขายเสียงและการทุจริตในการเลือกตั้งเป็นปัญหาสำคัญระดับชาติที่ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด
ทั้งนี้ ปปง.ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติงานการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อดำเนินการประสานและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 ซึ่งตามมาตรา 73 วรรคหนึ่งและวรรคสาม บัญญัติให้เป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ศูนย์ดังกล่าว มีหน้าที่เป็นศูนย์กลางประสานรับ-ส่ง เรื่องจาก กกต.เพื่อดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง การรับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์เกี่ยวกับพฤติกรรม การกระทำความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส.ส. และรวบรวมข้อมูลหรือหลักฐานเพื่อขยายผลในการดำเนินการตามกฎหมาย และรับหรือส่งรายงานหรือข้อมูลเกี่ยวกับคดีเพื่อปฏิบัติการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
พล.ต.ต.ปรีชา กล่าวว่า ตามมาตรา 73 พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส.2561 บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น ให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร หรือการชักชวนให้ไปลงคะแนนไม่เลือกผู้ใดเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
(1) จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใด อันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด
(2) ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด
ปปง.จึงขอแจ้งให้ผู้ที่ลงสมัคร ส.ส.ระมัดระวังการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองหรือการหาเสียงทุกรูปแบบ ในลักษณะดังกล่าว เนื่องจากจะเข้าข่ายเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งอาจถูกยึดและอายัดทรัพย์ได้
นอกจากนี้หากบุคคลใดมีพฤติการณ์ในการโอนหรือรับโอนทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดก็อาจต้องถูกดำเนินคดีอาญาฐานฟอกเงิน ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000 - 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ นอกจากจะถูกยึดหรืออายัดทรัพย์สินแล้ว ผู้กระทำความผิด ผู้เกี่ยวข้องสัมพันธ์ หรือนอมินี ที่รับโอนทรัพย์สินจากผู้กระทำความผิดทุกคนก็ยังอาจต้องถูกลงโทษจำคุกในความผิดฐานฟอกเงินด้วย