วันนี้ (8 เม.ย.2562) นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) แถลงข่าวชี้แจงกรณีความเคลื่อนไหวการนิรโทษกรรมกัญชา และการที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นที่ทำการมูลนิธิข้าวขวัญ และยึดของกลางตันกัญชากว่า 200 ตัน น้ำมันกัญชา พร้อมทั้งอุปกรณ์ในการทำน้ำมันกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
นายนิยม กล่าวว่า ขณะนี้แม้ว่าการนิรโทษกรรมกัญชา ภายใต้พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 19 ก.พ.นี้ ทางคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดให้ยื่นขออนุญาตภายในระยะเวลา 90 วัน และจะสิ้นสุดวันที่ 19 พ.ค.นี้ ผู้ที่กำลังศึกษาวิจัยเรื่องกัญชาต้องหยุดดำเนินการ เพื่อไม่ให้ถูกดำเนินคดี เพราะกัญชายังเป็นยาเสพติด อนุญาตเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์เท่านั้น ห้ามจำหน่ายครอบครอง จึงมีความผิดหากไม่ได้รับอนุญาต
ส่วนผู้มีไว้ในครอบครองจะต้องปฏิบัติตามที่เงื่อนไขกำหนดก่อน โดยผู้มีคุณสมบัติตามกฎหมายให้ยื่นขออนุญาต หรือกรณีผู้ป่วย หรือบุคคลอื่นให้แจ้งการมีไว้ในครอบครอง แต่ได้หมายถึงว่าจะทำการใด ๆ ได้โดยรับการยกเว้นโทษก่อนได้รับอนุญาต หรือแจ้งการครอบครอง
กรณีของมูลนิธิข้าวขวัญ เบื้องต้นพบว่าการวิจัยกัญชาเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ไม่ใช่เพื่อการค้า เพราะนำไปแจกจ่ายให้ประชาชนจริงไม่ได้เก็บเงิน แต่ก็ยังมีความผิด เพราะเจอทั้งต้นกัญชา น้ำมันกัญชา เมล็ดพันธ์ุ ซึ่งเข้าข่ายครอบครองยาเสพติดโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ปลูก และทำสารสกัดน้ำมันกัญชาเพื่อใช้ทางการแพทย์แม้จะอยู่ในช่วงนิรโทษกรรม
นายนิยม กล่าวว่า ส่วนข้อกังวลว่าการดำเนินการนี้ จะเอื้อประโยชน์กับนายทุนหรือไม่ หลังจากมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย อย.ระบุว่าตอนนี้มีเพียงหน่วยงานรัฐ 2 แห่งคือองค์การเภสัชกรรม และกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ที่ขออนุญาตแล้ว และเจตนาของการนิรโทษกรรม ในช่วง 5 ปีนี้ยังอนุญาตให้หน่วยงานรัฐทำวิจัยเท่านั้น
ส่วนมูลนิธิ และองค์กรหากจะดำเนินการก็ต้องร่วมกับรัฐ สถาบันการศึกษา ซึ่งกรณีมูลนิธิมีการระบุว่าอยู่ยื่นแล้ว แต่ยังอยู่ในขั้นตอนถ้าตรวจสอบแล้วพบว่ามีการกล่าวอ้างข้อมูลจริง ก็แสดงว่ามีเจตนาที่จะขออนุญาต แต่ถ้าเรื่องยังไปไม่ถึงการอนุญาต
มีแค่ 2 หน่วยยื่นขอใช้ประโยชน์กัญชาทางการแพทย์
นายนิยม ยืนยันการเข้าค้นและจับมูลนิธิข้าวขวัญ ในช่วงนิรโทษกรรม ว่าไม่ได้เฉพาะเจาะจงที่จะดำเนินการกับทางมูลนิธิ แต่มาจากการเผยแพร่ข้อมูลทางโซเชียลขององค์กร และเจ้าหน้าที่พบว่ามีข้อมูลนำไปแจกจ่ายที่วัดในจ.พิจิตรจริง และเมื่อไปตรวจสอบก็พบมีทั้งต้นกัญชา เมล็ดพันธ์ุ น้ำมันกัญชา ทั้งที่ในข้อกฎหมายยังไม่อนุญาต จึงเข้าข่ายครองครองยาเสพติด
กัญชายังเป็นยาเสพติด เพราะถ้าจะผ่อนปรนให้ใช้ ต้องมีการกลไกรัฐในการควบคุมเพื่อไม่ใช้ช่องทางผิดกฎหมาย
เข้าใจว่ากัญชาใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ได้ แต่ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย และยังมีทางเลือกอื่น ทั้งกรจะทำสิ่งผิดกฎหมายให้ถูกกฎหมายภายในข้ามวันช้ามเดือน คงไม่ใช้เรื่องง่าย ตรงนี้เป็นจุดที่นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรียุติธรรม เป็นห่วงว่าการผ่อนปรนกัญชาใช้ประโยชน์ทางการแพพทย์ ต้องยึดประโยชน์ประเทศ
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ภาคปชช.รวมเงิน 5 แสนประกันตัว "อาจารย์ซ้ง"คดีกัญชา 9 เม.ย.นี้