"สภาพัฒน์" เผยความสามารถการแข่งขันไทยขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 25

เศรษฐกิจ
29 พ.ค. 62
11:55
670
Logo Thai PBS
"สภาพัฒน์" เผยความสามารถการแข่งขันไทยขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 25
สภาพัฒน์ และ TMA เผยผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของไทย ประจำปี 2562 จาก IMD ขยับขึ้น 5 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 25 ขณะที่สิงคโปร์ เลื่อนขึ้นมาอยู่อันดับ 1 แทนที่สหรัฐฯ

วันนี้ (29 พ.ค.2562) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ ร่วมกับสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย หรือ ทีเอ็มเอ (TMA) เผยผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศจาก World Competitiveness Center ของ International Institute for Management Development หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์ ประจำปี 2562 โดยเขตเศรษฐกิจที่มีอันดับสูงสุด 5 อันดับแรก คือสิงคโปร์ เลื่อนขึ้นมาอยู่อันดับที่ 1 แทนที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งลดอันดับลงไปเป็นที่ 3 รองลงมาคือฮ่องกง สวิตเซอร์แลนด์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตามลำดับ ทั้งนี้ IMD ทำการสำรวจและจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทั้งหมด 63 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก

สำหรับเขตเศรษฐกิจในกลุ่มอาเซียนที่ได้รับการจัดอันดับ 5 เขตเศรษฐกิจ มีอันดับดีขึ้นเกือบทั้งหมด ประกอบด้วยสิงคโปร์ ซึ่งขึ้นมาอยู่อันดับที่ 1 มาเลเซียมีอันดับคงที่ที่ 22 เช่นเดียวกับปีที่แล้ว ส่วนประเทศไทยสูงขึ้น 5 อันดับ จากอันดับที่ 30 เป็น 25 อินโดนีเซียมีอันดับดีขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากอันดับที่ 43 เป็น 32 และฟิลิปปินส์จากอันดับที่ 50 เป็น 46 ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาผลการจัดอันดับของไทย จากผลการจัดอันดับที่แบ่งเป็น 4 ด้านได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจ, ประสิทธิภาพของภาครัฐ, ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน มีผลการจัดอันดับดีขึ้น 3 ด้าน ประกอบด้วย สภาวะเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพของภาครัฐ และโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจลดลง 2 อันดับ

นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยว่า เป็นที่น่ายินดีที่ในปีนี้ผลการจัดอันดับของประเทศไทยดีขึ้นถึง 5 อันดับ โดยที่ด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจและประสิทธิภาพของภาครัฐดีขึ้นถึง 2 อันดับ ในด้านเศรษฐกิจนั้น ปรากฏว่าด้านการลงทุนต่างประเทศ มีอันดับที่ดีขึ้นมาก เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการลงทุนจากต่างประเทศ ขณะที่การปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานเพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจ ส่งผลให้อันดับด้านกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของประสิทธิภาพของภาครัฐดีขึ้นถึง 4 อันดับ ซึ่งนับว่าเป็นผลจากการที่รัฐบาลได้มีแนวทางที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องในการปรับกฎระเบียบให้ทันสมัย คล่องตัว และส่งเสริมการใช้ดิจิทัลในการให้บริการให้รวดเร็วมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการแก้ปัญหาปัจจัยพื้นฐานเชิงโครงสร้างในทุกด้าน และกำลังผลักดันต่อไปให้เกิดผลอย่างต่อเนื่องและในวงที่กว้างขวางมากขึ้น

 

 

นอกจากนี้ ในปีที่ผ่านมาและตลอดช่วงปีนี้ สภาพัฒน์ฯ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (กพข.) ได้พยายามผลักดันและประสานให้เกิดการขับเคลื่อนการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยที่ในด้านข้อมูลสภาพัฒน์ได้ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติ และสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทยในการผลักดันและสร้างความตระหนักอย่างต่อเนื่องให้หน่วยงานเจ้าภาพข้อมูลมีการจัดระบบข้อมูลที่ใช้ในการจัดอันดับของสถาบัน IMD ให้มีความถูกต้อง และทันสมัย

ขณะเดียวกัน ในปีนี้สภาพัฒน์ก็ให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนของสังคมถึงความสำคัญของความสามารถในการแข่งขันที่มีต่อความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน เพื่อที่ทุกภาคส่วนจะได้ช่วยกันดำเนินการในส่วนที่รับผิดชอบหรือเกี่ยวข้อง โดยสภาพัฒน์ได้ดำเนินการโครงการที่เรียกว่า “การสร้างอนาคตประเทศไทย” โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัท 101% ซึ่งโครงการนี้ทำหน้าที่ในการสื่อสารสาธารณะในเรื่องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับสาธารณชนในทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องจุดเน้นหลักของนโยบายที่จะยกระดับขีดความสามารถทั้งในเรื่องทุนมนุษย์ กฎระเบียบ และการพัฒนาในระดับพื้นที่ที่จะพัฒนาขีดความสามารถให้มีความทั่วถึงในระดับพื้นที่ รวมทั้งรัฐบาลก็ได้มีการเร่งรัดให้หน่วยงานดำเนินแผนงานหรือโครงการที่จะส่งผลต่อการพัฒนาทั้ง 4 ด้านที่กล่าวมาข้างต้นเพื่อยกอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้เกิดผลเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้นตามลำดับ

 

 

ด้าน น.ส.วรรณวีรา รัชฎาวงศ์ กรรมการบริหาร สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เป็นที่น่ายินดีที่ในปีนี้ประเทศไทยมีอันดับดีขึ้นถึง 5 อันดับ เป็นอันดับที่ 25 ซึ่งนับเป็นอันดับสูงที่สุดในรอบกว่า 10 ปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากประเด็นด้านเศรษฐกิจที่ทำให้ผลการจัดอันดับดีขึ้น ยังมีประเด็นโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ที่เป็นรากฐานของการสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวที่มีอันดับสูงขึ้นถึง 4 อันดับ จากปีที่แล้ว อันเป็นผลมาจากการขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องของทั้งภาครัฐและเอกชนในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้การลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาของประเทศเพิ่มอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเอกชนที่ปัจจุบันมีสัดส่วนการลงทุนวิจัยและพัฒนาคิดเป็นร้อยละ 0.8 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) จากสัดส่วนการลงทุนทั้งหมดร้อยละ 1 ของ GDP

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นประเด็นท้าทายของประเทศ คือการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นมาช่วยเพิ่มมูลค่าและผลิตภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจขนาดย่อมและภาคการเกษตร รวมถึงการพัฒนากำลังคนให้เท่าทันเทคโนโลยีและพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงในโลกอนาคต โดยใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่ได้ลงทุนไปเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงองค์ความรู้และบริการทางสังคมต่างๆ อย่างเต็มที่

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ ปลื้มอันดับความสามารถการแข่งขันไทยดีขึ้น ติด 1 ใน 25 ของโลก

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง