วันนี้ (30 พ.ค.62) นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวภายหลังการลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุระเบิดเพลิงไหม้บนเรือสินค้า KMTC HONGKONG ที่ท่าเทียบเรือบริษัท ไทยแหลมฉบัง เทอร์มินัล จำกัด ท่าเทียบเรือแหลมฉบัง ว่า เรือลำดังกล่าวเป็นเรือสัญชาติฮ่องกง บรรทุกสินค้ามาจำนวน 676 ตู้ แต่มีเพียง 469 ตู้ที่จะส่งลงที่ท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งขณะนั้นขนส่งได้เพียง 426 ตู้และเหลือตกค้างระหว่างการขนส่งจำนวน 34 ตู้
นายไพรินทร์ ตั้งข้อสังเกตว่า สินค้าในตู้ที่เกิดเพลิงไหม้ มีจำนวน 13 ตู้ เป็นสารแคลเซียม ไฮเปอร์คลอไรด์ ซึ่งเป็นสินค้าอันตรายประเภทที่ 5.1 ตามปกติจะต้องมีการสำแดงว่ามีตู้สินค้าอันตราย แต่เหตุใดจึงไม่สำแดงและทำไมจึงขนส่งสินค้าอันตรายมากถึง 13 ตู้ หรือรวมจำนวนทั้งหมด 325 ตัน รวมถึงให้ตรวจสอบผู้รับและผู้ส่งสินค้าด้วย
นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ยังขอให้กักตัวกัปตันเรือและลูกเรือไว้ก่อนเพื่อดำเนินการสอบสวน ระหว่างที่รอการพิสูจน์หลักฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เบื้องต้นได้สอบปากคำผู้บาดเจ็บไปแล้วจำนวน 100 คน โดยขั้นตอนหลังจากนี้จะสูบน้ำปนเปื้อนกว่า 3,500 ตัน ออกไปกำจัดเพื่อให้กองพิสูจน์หลักฐาน และตำรวจภูธรแหลมฉบังเข้าพื้นที่เพื่อเข้าดำเนินการพิสูจน์หลักฐาน และเคลื่อนย้ายเรือออกจากท่าไปที่อู่ต่อเรือยูนิไทย
ด้านนายบรรจง สุกรีฑา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า สารเคมีดังกล่าวผู้นำเข้าไม่ต้องขออนุญาตขึ้นทะเบียนการนำเข้า แต่ต้องแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ให้ทราบ พร้อมเสนอให้การท่าเรือฯ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวบรวมน้ำที่ใช้ดับไฟ ซึ่งปนเปื้อนสารเคมีไปเผาทำลายในโรงงานที่มีศักยภาพ เพื่อลดความเสี่ยงที่มลพิษอาจปนเปื้อนลงในทะเล ซึ่งอาจสร้างความเสียหายระยะยาว
ข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมระบุว่า ระหว่างวันที่ 1-28 พ.ค.2562 มี บริษัทเอกชน 4-5 ราย แจ้งนำเข้าสารแคลเซียมไฮเปอร์คลอไรด์ มาแล้วกว่า 300 ตัน จากจีนและฮ่องกง
สำหรับสารเคมีดังกล่าวมีผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจเยื่อบุตาและผิวหนัง โดยในวันที่เกิดเหตุมีผู้ สัมผัสสารเคมี 229 คนซึ่งเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล ส่วนผู้ที่ร้องเรียนผลกระทบที่ศูนย์รับแจ้งเหตุฯ มีกว่า 1,400 คน