วันนี้ (24 ม.ค.2563) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่อัยการสั่งไม่ฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และพวกในคดีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ (บิลลี่) ล่าสุด สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) ระบุ ดีเอสไอยังมีอำนาจทำความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องได้ โดยมีเนื้อหาดังนี้
กรณีอัยการสั่งไม่ฟ้องชัยวัฒน์ กับพวก อดีตเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เหตุฆาตกรรมบิลลี่ ดีเอสไอยังมีอำนาจทำความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องอยู่
วันที่ 23 ม.ค.2563 พนักงานอัยการมีหนังสือถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เรื่องการสั่งไม่ฟ้องนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กับพวกรวม 4 คน สืบเนื่องจากกรณีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ (บิลลี่) เมื่อวันที่ 17 เม.ย.2557 ภายหลังจากที่ถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เนื่องจากมีน้ำผึ้งป่าไว้ในครอบครองเป็นจำนวน 6 ขวด และหลังจากวันนั้นก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นบิลลี่อีกเลยเป็นเวลากว่า 5 ปี จนกระทั่งดีเอสไอแถลงพบชิ้นส่วนที่สามารถสันนิษฐานได้ว่าบิลลี่เสียชีวิตลงแล้ว โดยการฆาตกรรม
ซึ่งจากกรณีสั่งไม่ฟ้องนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยังมีอำนาจในการทำความเห็นแย้งอยู่ ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ ในกรณีที่อัยการมีความเห็นไม่ตรงกับพนักงานสอบสวน ความว่า “หากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเห็นชอบด้วยกับคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ คำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการเป็นคำสั่งเด็ดขาด หากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาแล้วมีความเห็นแย้งกับคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการก็จะต้องส่งความเห็นพร้อมทั้งเหตุผลในการแย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการไปยังอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาชี้ขาดต่อไป หากอัยการสูงสุดชี้ขาดให้ฟ้อง (เห็นด้วยกับความเห็นแย้ง) ก็จะมีคำสั่งให้พนักงานอัยการฟ้องคดี ต่อศาล หรือหากอัยการสูงสุดชี้ขาดไม่ฟ้อง (เห็นด้วยกับคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ) คำชี้ขาดของอัยการสูงสุด เป็นที่ยุติ และมีผลเป็นคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง” โดยปฏิบัติเช่นเดียวกับ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145
รายละเอียดคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ มีดังนี้
สั่งไม่ฟ้องนายชัยวัฒน์ ผู้ต้องหาที่ 1, นายบุญแทน ผู้ต้องหาที่ 2 และ นายธนเสฏฐ์ หรือ ไพฑูรย์ ผู้ต้องหาที่ 3 ในข้อหาดังนี้
1. ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดจากการที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้
2. ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย
3. ร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น
4. ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดติดตัวไปด้วยเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ร่วมกันโดยทุจริตหรือเพื่ออำพรางคดีกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อม ในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
5. ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต
6. ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น

และสั่งไม่ฟ้องนายกฤษณพงษ์ ผู้ต้องหาที่ 4 ในข้อหาดังนี้
1. ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดจากการที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตนหรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้
2. ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย
3. ร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น
4. ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิดติดตัวไปด้วยเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
5. ร่วมกันโดยทุจริตหรือเพื่ออำพรางคดีกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อม ในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
6. ร่วมกันโดยทุจริตเพื่ออำพรางคดีกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนหารชันสูตรเสร็จสิ้นในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป
7. เป็นผู้สนับสนุนมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต
8. เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
แท็กที่เกี่ยวข้อง: