วันนี้ (24 ก.ย.2563) เมื่อเวลา 11.23 น.นายนิกร จำนง สมาชิกรัฐสภา กล่าวอภิปรายการแก้รัฐธรรมนูญ โดยระบุว่าประเทศไทยเจอปัญหา 3 ประสานที่รอการระเบิด ซึ่งน่ากลัวมาก โดยด้านการเมือง มีความขัดแย้งทางความคิดทางการเมืองอย่างมาก มีการแบ่งขั้วทางการเมืองแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ด้วยความเชื่อทางการเมืองที่แตกต่างกัน แม้แต่ในสภาแห่งนี้ ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลอย่างที่ไม่เกิดขึ้นมาก่อน ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจทางเศรษฐกิจ ความเหลือมล้ำในสังคมและยิ่งภาวะ COVID-19 ที่กระทบต่อการทำมาหากิน และปัญหาใหม่มีปัญหาเรื่องความขัดแย้งทางชนชั้น และมีช่องทางว่าวงระหว่างวัย ตอนนี้คนไทยเหมือนอยู่คนละโลก
3 อย่างรอวันเวลาที่จะระเบิด และตอนนี้ยังเกิดวิกฤตรัฐธรรมนูญ และนำมาสู่การเรียกร้อง และยกร่างแก้รัฐธรรมนูญหลายร่าง ซึ่งน่าห่วงว่าถ้าแก้ไขไม่เป็นตามที่คาดหวังจะยิ่งไปสู่การปะทุ และนำไปสู่ความสูญเสียครั้งใหญ่ในความเห็นของตัวเอง

ยกเหตุการณ์ปี 35 ขัดแย้งรุนแรง
นายนิกร กล่าวอีกว่า แต่ในมุมกลับถ้าแก้ไขได้บ้าง จะหยุดความขัดแย้งที่รุนแรงบางส่วนลง และแก้ปัญหาเศรษฐกิจสังคมที่จ่ออยู่ และหน้าที่ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในภาวะวิกฤตนี้ ถ้าไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นคุณเป็นโทษจะถูกจดจำไปตลอดไปไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
นายนิกร ระบุว่า ช่วง 27 ปีก่อนไทยเคยวิกฤตการเมืองตั้งแต่ปี 2535 ซึ่งเกิดกรณีนายกรัฐมนตรีที่ไม่มาจากการเลือกตั้งและนำมาสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ นำมาสู่การเรียกให้มีนายกรัฐมนตรี มาจากการเลือกตั้ง และตอนนั้นในฐานะส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ที่สนใจทางด้านประชาธิปไตย กลับมาหารือกับนายบรรหาร ศิลปอาชา ในฐานะเลขาธิการวหน้าพรรคชาติไทยในเรื่องนี้ แต่บรรหาร บอกว่าเราเป็นพรรคร่วมรัฐบาลแต่จะไปออกกฎหมายไล่เขาคงทำไม่ได้ และผมยอมรับว่านายบรรหาร เป็นคนที่กตัญญู มีสัจจะ และวิกฤตนี้นำไปสู่วิกฤตการเมืองในครั้งนั้น ทำให้เกิดการปะทะทหาร ตำรวจ ประชาชนและการสูญเสียชีวิต
ตอนนั้นผมเคยโทรหาพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ในตอนนั้นว่าจะขอลาออกจาก ส.ส. แต่พล.อ.เปรม บอกว่านิกร ลาออกคนเดียวไม่มีประโยชน์ ทำให้ผมต้องกลับมาคิดว่ารัฐบาลไม่มีทางออกเลยจะยุบสภา จะลาออก ก็ไม่ได้ ผมเลยนัดส.ส.พรรคชาติไทยหลายคนว่าจะไปลาออก เพื่อให้เกิดสถานการณ์ ส.ส.ลาออก และนายกฯจะได้ยุบสภาได้

ชวนทุกคนร่วมปลดชนวนความขัดแย้ง
คืนนั้นประมาณ 21.00 วันที่ 20 พ.ค.2535 พล.อ.เปรม พร้อมนายกรัฐมนตรีในตอนนั้น และพลตรี ที่เป็นคู่ขัดแย้งในตอนนั้น ได้เข้าเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัสสำคัญว่า
เดินหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน เพราะเป็นประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศหนึ่งของคนสองคน เป็ประเทศของทุกคน เข้าหากันไม่เผชิญหน้ากันเพราะปัญหามีอยู่ เวลาเกิดจะใช้คำว่าเลือด และเวลาปฏิบัติการจะลืมตัว เพียงจะเอาชนะใครไม่มีทาง มีแต่แพ้ และที่แพ้คือประเทศชาติและประชาชนทั้งประเทศ ในกทม.ถ้าเสียหายไปประเทศเสียหายทั้งหมดแล้วจะทรนงตัวว่าชนะได้อย่างไรท่ามกลางซากปรักหักพัง
นายนิกร บอกว่าตอนนั้นนั่งน้ำตาไหล เพราะว่าความผ่อนคลายในความตึงเครียดที่มีมาและบอกว่ากับพล.อ.เปรมว่า ถ้าเหตุการณ์สงบจะลาออก และได้ทำตามคำของท่านและมีบทบัญญัติให้มีนายกรัฐมนตรี มาจากการเลือกตั้ง และตัดสินใจไม่ลงเลือกตั้งในภาคใต้ เพราะต้องการไม่ให้เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง
ประสบการณ์ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการผ่อนคลายความขัดแย้งในตอนนั้นได้เลย และตอนนี้อยากให้ทุกคนมีหน้าที่ในการนำประเทศออกจากวิกฤตนี้ เพราะสมาชิกรัฐสภายังมีโอกาสที่จะระงับความขัดแย้งนี้ได้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
จับตา! ลงมติโหวตแก้รัฐธรรมนูญ 6 ญัตติรู้ผลวันนี้
แนะเลี่ยง 3 เส้นทางรอบรัฐสภา-ตร.ส่ง 4 กองร้อยคุม
บช.น.จัดตำรวจ 5 กองร้อย รับผู้ชุมนุมหน้าสภาฯ
แท็กที่เกี่ยวข้อง: