ค้นพบเพิ่ม โครงกระดูกมนุษย์โบราณ 3 พันปี แหล่ง "สีบัวทอง"

Logo Thai PBS
ค้นพบเพิ่ม โครงกระดูกมนุษย์โบราณ 3 พันปี แหล่ง "สีบัวทอง"
กรมศิลปากร ขุดค้นทางโบราณคดี "แหล่งโบราณคดีสีบัวทอง" อ.แสวงหา จ.อ่างทอง การขุดค้น 3 หลุม พบโครงกระดูกมนุษย์ 7 โครง ภาชนะดินเผา และกำไลสำริด คาดอายุ 3,000 ปี

วันนี้ (25 ก.ย.2563) นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า จากที่มีการค้นพบการฝังศพสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่บ้านสีบัวทอง ต.สีบัวทอง อ.แสวงหา จ.อ่างทอง มีหน่วยงานภาครัฐและมหาวิทยาลัยเข้าสำรวจจนระบุได้ว่าเป็นแหล่งโบราณคดีแห่งใหม่ของ จ.อ่างทอง ปัจจุบันสำนักศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา เข้าดำเนินการในฐานะหน่วยงานที่มีบทบาทโดยตรงต่อการศึกษาทางวิชาการ จนค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีที่จะเป็นข้อมูลสำคัญต่อพัฒนาการของจังหวัดอ่างทอง

 

ขุดค้น 3 หลุม พบโครงกระดูกมนุษย์

การขุดค้นดำเนินการทั้งหมด 3 หลุม พบโครงกระดูกมนุษย์ทั้งหมด 7 โครง โดยเป็นผู้ใหญ่ 6 โครง เป็นเด็ก 1 โครง การฝังศพอยู่ลึกลงจากผิวดินชั้นวัฒนธรรมประมาณ 20-70 เซนติเมตร เป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงถึงพิธีกรรมการฝังศพของคนในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ทุกโครงถูกฝังในลักษณะนอนหงายเหยียดยาว มีข้อสังเกตเกี่ยวกับการมัดบริเวณเข่าในทุกโครง (ยกเว้นโครงเด็ก) หันศีรษะไปทางทิศเหนือและทิศตะวันออกเฉียงเหนือมีเครื่องอุทิศที่ฝังร่วมกับโครงกระดูก ได้แก่ ภาชนะดินเผา พบร่วมกับโครงกระดูก 5 โครง วางอยู่ด้านบนหรือด้านข้างของโครงกระดูกตำแหน่งตั้งแต่สะโพกจนถึงปลายเท้า จำนวนตั้งแต่ 1-9 ใบ หม้ออุทิศเป็นภาชนะดินเผาเนื้อดิน (Earthenware) ประเภทหม้อก้นกลม ชาม ตกแต่งผิวด้วยลายเชือกทาบหรือทาน้ำดินสีแดง ขวานหินขัดวางอยู่ที่กระดูกสะโพกข้างขวาของโครงกระดูกโครงหนึ่งที่ไม่พบภาชนะดินเผา กำไลสำริด พบสวมอยู่ที่กระดูกปลายแขนข้างซ้ายของโครงกระดูกที่อยู่ลึกที่สุดและมีสภาพไม่สมบูรณ์ที่สุด

 

จากการตรวจสอบชั้นดินหลุมขุดค้นในที่ทำการ อบต.สีบัวทอง คาดว่าเป็นผิวดินเดิม พบว่าในระดับผิวดินเดิมก่อนที่จะทำการขุดลอกนั้นไม่พบโบราณวัตถุ จนกระทั่งความลึกประมาณ 1 เมตรจากผิวดินเดิม จึงพบโบราณวัตถุปะปน เช่น เศษภาชนะดินเผาหรือเศษกระดูก เป็นระดับที่ใกล้เคียงกับระดับที่พบการฝังศพ ในพื้นที่ของนายสมเกียรติ บริบูรณ์ ที่ขุดลอกหน้าดินออกไป ดังนั้นพื้นที่แหล่งโบราณคดีสีบัวทอง มีการตั้งถิ่นฐานของชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์อยู่ช่วงเวลาหนึ่งแล้วจึงมีการโยกย้ายทิ้งร้างพื้นที่ไป

ชุมชนยุคสำริด อายุ 3,000 ปี

จากการดำเนินงานโบราณคดีในช่วงที่ผ่านมาทำให้พอทราบว่าชุมชนแห่งนี้เป็นชุมชนที่มีอายุในช่วงยุคสำริด คือประมาณ 2,500-3,000 ปี แม้ว่าจะยังคงพบขวานหินขัดร่วมกับหลุมฝังศพ แต่จากการที่พบโครงกระดูกที่มีสำริดฝังร่วมด้วยในชั้นที่ลึกกว่าโครงอื่น จึงควรสันนิษฐานว่าชุมชนแห่งนี้เข้าสู่ยุคสำริดแล้ว แม้ว่าระดับเทคโนโลยีจะยังคงคล้ายยุคหินใหม่อยู่ก็ตาม

ในเบื้องต้นพบว่ารูปแบบภาชนะดินเผามีความใกล้เคียงกับแหล่งโบราณคดีใน จ.ลพบุรี มากกว่าแหล่งโบราณคดีใน จ.สุพรรณบุรี หากวิเคราะห์ร่วมกับชั้นวัฒนธรรมที่ไม่หนามาก อาจจะสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่าเป็นชุมชนที่มีการโยกย้ายมาอยู่ในช่วงสั้น ๆ ก่อนจะอพยพไปตั้งถิ่นฐานในบริเวณอื่น

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง