วันนี้ (17 ต.ค.2563) มิงยู ฮาห์ รองผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคฝ่ายรณรงค์ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวถึงกรณีจากการใช้กำลังตำรวจของไทยเพื่อสลายการชุมนุม รวมทั้งการใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงผสมสารระคายเคืองและสีย้อม โดยระบุว่า การใช้กำลังเกินกว่าเหตุเพื่อสลายการชุมนุมโดยสงบเมื่อคืนเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม และไม่สอดคล้องอย่างสิ้นเชิงกับหลักการตามกฎหมายที่ได้รับการยอมรับ ตามหลักการความจำเป็น และหลักการที่ได้สัดส่วนอย่างที่ทางการไทยอ้าง
ขณะที่การใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงที่ผสมสารระคายเคืองและสีย้อม ไม่เพียงอาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บ การใช้สีผสมในน้ำยังเป็นการกระทำที่ไม่เลือกเป้าหมาย และอาจนำไปสู่การพุ่งเป้าเพื่อจับกุมโดยพลการต่อผู้ชุมนุมโดยสงบ ผู้สื่อข่าว และผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ ซึ่งอาจถูกน้ำฉีดใส่จนเปื้อนสี

ในการควบคุมการชุมนุม ทางการไทยควรเคารพ คุ้มครองและประกันการใช้สิทธิมนุษยชนของผู้จัดการชุมนุมและผู้เข้าร่วม รวมทั้งยังต้องประกันความมั่นคงปลอดภัยของผู้สื่อข่าว ผู้สังเกตการณ์การชุมนุม และประชาชนทั่วไปที่ร่วมสังเกตการณ์การชุมนุมด้วย
เราขอเรียกร้องทางการไทยให้ปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ และอำนวยความสะดวกในการใช้สิทธิเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบ ทางการไทยต้องอนุญาตให้ผู้ชุมนุมโดยสงบสามารถแสดงความคิดเห็น โดยต้องไม่ทำให้เกิดความตึงเครียดมากกว่านี้
ชี้ทางการไทยฉีดน้ำสีน้ำเงินระบุตัวผู้ชุมนุม
ก่อนจะมีการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ตอนห้าโมงเย็นของวันศุกร์ ซึ่งการชุมนุมนั้นเป็นการชุมนุมต่อเนื่องจากวันก่อน ตำรวจได้สั่งปิดถนน ติดตั้งแนวกั้น และติดตั้งลวดหนามหลายชั้น เพื่อขัดขวางไม่ให้ประชาชนมาชุมนุมอย่างสงบได้อีกในบริเวณสี่แยกใจกลางกรุงเทพฯ ส่งผลให้ผู้ชุมนุมประกาศย้ายจุดชุมนุมมาอีกที่แยกหนึ่ง บริเวณสี่แยกปทุมวัน ในช่วงค่ำ ตำรวจได้ใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงหลายครั้งเพื่อพยายามสลายการชุมนุม ซึ่งคาดว่ามีผู้เข้าร่วมหลายพันคน
จากคำแถลงของโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ประท้วง 7 คนถูกจับและถูกควบคุมตัว โฆษกยังยืนยันว่า น้ำที่ฉีดผสมสารระคายเคืองและสีน้ำเงิน “เพื่อระบุตัวผู้ประท้วงที่จะถูกดำเนินคดีต่อไป”

ในวันเดียวกัน นายกิตติ พันธภาค นักข่าวประชาไทถูกจับ ถูกยึดอุปกรณ์ ถูกควบคุมตัว และถูกปล่อยตัวในเวลาต่อมา ทั้งนี้ตามแถลงการณ์ของประชาไท ขณะที่ทางการไทยประกาศห้ามการชุมนุมของบุคคลตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปเป็นเวลา 30 วัน ในเขตกรุงเทพฯ คำสั่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อยุติการชุมนุมที่เกิดเพิ่มขึ้น
ทั้ง ประกาศดังกล่าวยังเป็นคำสั่งห้ามการตีพิมพ์เผยแพร่ข่าวสารหรือข้อความออนไลน์ที่อาจทำให้เกิดความหวาดกลัว ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือกระทบต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน โดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเห็นว่าเป็นประกาศที่รุนแรง และเน้นย้ำข้อเรียกร้องต่อทางการไทยให้ปล่อยตัวผู้ชุมนุม และให้ยกเลิกมาตรการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบโดยพลการ
ส.ส.ก้าวไกล จี้เจ้าหน้าที่แจงสารเคมีปริศนาผสมน้ำ
นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ส.ส.พรรคก้าวไกล กล่าวถึงเหตุการณ์ใช้กำลังสลายชุมนุมเมื่อคืนที่ผ่านมา เป็นการกระทำที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ และผิดหลักปฏิบัติสากลอย่างชัดเจน พร้อมระบุว่า สหประชาชาติได้กำหนดแนวทางไว้ว่าการจะใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงนั้นจะต้องใช้เฉพาะในเหตุจลาจล ที่อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายหรือมีการทำลายข้าวของอย่างกว้างขวาง แต่การชุมนุมเมื่อวานมีการรวมตัวกันด้วยความสงบเรียบร้อย ไม่ได้เข้าข่ายที่ต้องใช้กำลังเข้าปราบปรามสลายการชุมนุม และขอประณามการกระทำของเจ้าหน้าที่และผู้สั่งการ
ทั้งนี้ มีรายงานหลากหลายประเทศว่ามีการเสียชีวิตและพิการจากผลของปืนฉีดน้ำแรงดันสูงนี้รวมถึงอันตรายจากสารเคมีที่ผสมลงไปในน้ำ ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนจากตำรวจว่าใช้สารเคมีอะไร จึงต้องการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องออกมาชี้แจงถึงสารเคมีที่ผสมอยู่ในน้ำด้วย