วันนี้ (3 พ.ย.2563) ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล สรุปสถานการณ์ COVID-19 ทั่วโลกว่า มีแนวโน้มแย่ลง เห็นได้จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านคนในระยะเวลา 2 วัน จากช่วง 2 เดือนที่แล้ว จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกเพิ่มขึ้น 1 ล้านคน ทุกๆ 5-7 วัน คาดการณ์ว่าปลายเดือน พ.ย.นี้ อาจเพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านคน จากขณะนี้ 47 ล้านคน

ขณะนี้ทั่วโลกกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นของการแพร่ระบาด หลายประเทศระบาดรอบ 2 จนต้องกลับมาล็อกดาวน์ และบางประเทศกำลังเผชิญปัญหาผู้ป่วยเกินศักยภาพในการดูแล
สำหรับผู้ป่วยในประเทศไทยพบความเสี่ยงการระบาดรอบ 2 ใน 3 ปัจจัย ได้แก่ การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเมียนมา อุณหภูมิที่เริ่มลดลง และการชุมนุม พร้อมย้ำเตือนมาตรการด้านสาธารณสุขที่ทุกคนต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ใส่หน้ากากอนามัย เว้ยระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ

เตือนใช้มาตรการรัดกุม หากลดเวลากักตัวเหลือ 10 วัน
ขณะที่ผู้ประกอบการต้องไม่ละเลยมาตรการดังกล่าวเช่นกัน โดยเฉพาะการเช็กอินและเช็กเอาท์ ผ่านแอปพลิเคชันไทยชนะ ซึ่งการพัฒนาวัคซีนของทั่วโลก อาจมีความชัดเจนมากขึ้น หลังช่วงกลางปี 2564 เป็นต้นไป ดังนั้น 7 เดือนต่อจากนี้ไป มาตรการด้านสาธารณสุขที่เคร่งครัดจึงเปรียบเสมือนวัคซีนเบื้องต้น

ส่วนการรับนักท่องเที่ยวนั้น ควรเริ่มจากกลุ่มประเทศความเสี่ยงต่ำก่อน ส่วนระยะเวลาการกักตัว 10 วัน หรือ 7 วัน ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ต้องมีมาตรการติดตามนักท่องเที่ยงอย่างรัดกุม ไม่มีข้อยกเว้นกับบุคคลใดทั้งสิ้น หากพบผู้ติดเชื้อเพียงหลักสิบคน ก็ต้องปรับเปลี่ยนกลับไปกักตัว 14 วันเช่นเดิม เพราะการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้เข้าประเทศต้องมองมิติด้านสุขภาพควบคู่ไปด้วย หากเกิดการติดเชื้อในประเทศ และต้องกลับไปล็อกดาวน์ ผู้ประกอบการก็จะประสบปัญหาขาดรายได้อีก

แท็กที่เกี่ยวข้อง: