วันนี้ (27 พ.ย.63) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีการลงนามในสัญญาการจัดหาวัคซีน COVID-19 โดยการจองล่วงหน้า และสัญญาการจัดซื้อวัคซีนกับบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จำกัด จำนวน 26 ล้านโดส ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข และบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า โดย นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วย นายเจมส์ ทีก ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด และ นายเอเดรียน เค็มพ์ เลขานุการบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า สหราชอาณาจักร จำกัด โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ประธานกรรมการ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ร่วมเป็นสักขีพยาน และ นายอเล็กซานดรา แมคเคนซี อัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย และ นายนิโคลัส วีคส์ อุปทูตรักษาการแทนเอกอัครราชทูตแห่งราชอาณาจักรสวีเดน พร้อมด้วยนายพิษณุ สุวรรณชฎ เอกอัครราชทูตไทยณ กรุงลอนดอน ร่วมเป็นเกียรติในพิธี

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างสูงในการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 และได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจอย่างมากเช่นกัน ดังนั้นการเข้าถึงวัคซีนป้องกัน COVID-19 ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นทางออกที่ยั่งยืนในการต่อสู้กับปัญหาการแพร่ระบาดครั้งนี้ การที่รัฐบาลไทยสามารถจัดหาวัคซีนที่พัฒนาขึ้นโดยมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ดและแอสตร้าเซนเนก้า โดยการจองซื้อล่วงหน้าจำนวน 26 ล้านโดส ทำให้มั่นใจได้ว่าคนไทยจะสามารถเข้าถึงวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัยได้ นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้สนับสนุนติดตามความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนในประเทศของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับความสำเร็จการพัฒนาวัคซีนของประเทศต่าง ๆ รัฐบาลยังให้ความสำคัญในการประสานความร่วมมือ เพื่อให้คนไทยเข้าถึงวัคซีนให้มากที่สุด
“นับเป็นโอกาสที่สำคัญในการแสดงให้นานาชาติได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมด้านการผลิตชีวเภสัชของประเทศไทย รวมทั้งบทบาทของไทยในฐานะผู้ผลิตวัคซีนที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากการที่กระทรวงสาธารณสุข และบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ได้บรรลุข้อตกลงการจัดหาวัคซีน ซึ่งพัฒนาขึ้น โดยมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด ร่วมกับบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า โดยมอบให้บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เป็นผู้ผลิตวัคซีนรายเดียวสำหรับประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คาดว่าส่งมอบวัคซีนชุดแรกได้ภายในกลางปี 2564 โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 17 พ.ย.63 เห็นชอบโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับประชาชนโดยการจองล่วงหน้ากับบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จำกัด ในวงเงิน 6,049.72 ล้านบาท รวมทั้งอนุมัติงบประมาณ 2,379.43 ล้านบาท เพื่อจัดหาวัคซีนล่วงหน้าสำหรับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย 13 ล้านคน เพื่อลดอัตราการป่วย การเสียชีวิต ค่าใช้จ่ายในการรักษา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว รวมทั้งยังเป็นการสร้างศักยภาพของอุตสาหกรรมยาชีววัตถุในประเทศจากการรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้สามารถผลิตวัคซีน COVID-19

ทั้นี้ เมื่อวันที่ 23 พ.ย.63 บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ได้ประกาศผลการวิจัยวัคซีนเบื้องต้นว่า มีประสิทธิผลสูงในการป้องกัน COVID-19 และมีความปลอดภัยสูง สามารถป้องกันกลุ่มอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนจากการติดเชื้อ ผลการวิเคราะห์เบื้องต้นของการทดลองทางคลินิกแสดงให้เห็นว่าวัคซีนวิจัย AZD1222 มีประสิทธิผลเฉลี่ย 70% และอาจแสดงประสิทธิผลได้ถึง 90% โดยขึ้นอยู่กับขนาดของโดสที่ให้ พร้อมกันนี้ ยังพบว่ามีผลข้างเคียงที่ยอมรับได้ในกลุ่มอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนและไม่พบเหตุไม่พึงประสงค์ด้านความปลอดภัยที่ร้ายแรง อีกทั้งยังสามารถจัดเก็บวัคซีนนี้ได้ที่อุณหภูมิระหว่าง 2-8 องศาเซลเซียส จึงใช้งานง่ายและเหมาะสมกับระบบสุขภาพของประเทศไทย

นายเจมส์ ทีก ประธานบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แอสตร้าเซนเนก้าจะทำงานร่วมกับ สยามไบโอไซเอนซ์ ในการขยายกำลังการผลิตวัคซีน AZD1222 ในระดับโลก โดยการถ่ายทอดเทคโนโลยีได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา และสามารถดำเนินการได้ตามแผนการที่วางไว้ ในขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุข และ แอสตร้าเซนเนก้า ได้ประสานความร่วมมือกันเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับกระบวนการ ขออนุมัติการขึ้นทะเบียนวัคซีนให้สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและเป็นไปตามมาตรฐานด้านความปลอดภัยสูงสุดภายใต้กฎข้อบังคับด้านสาธารณสุขของประเทศไทย

“แอสตร้าเซนเนก้ามีความภาคภูมิใจที่ได้ร่วมสนับสนุนกลยุทธ์การจัดหาวัคซีนป้องกัน COVID-19 ของรัฐบาล ด้วยการจัดสรรวัคซีนวิจัยป้องกัน COVID-19 AZD1222 พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ดร่วมกับแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งจะผลิตในประเทศไทย พร้อมกันนี้ขอขอบคุณสำหรับการแนะนำและแนวทางของรัฐบาล ผมเชื่อมั่นว่าความร่วมมือนี้จะเป็นทางออกของปัญหาการแพร่ระบาด นำมาซึ่งสุขภาพที่ดีและความเจริญก้าวหน้าของประเทศไทยต่อไป” นายเจมส์กล่าว
แท็กที่เกี่ยวข้อง: