วันนี้ (30 ม.ค.2564) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า ตามที่กรมบัญชีกลาง ได้มีการตรวจสอบพบว่ามีผู้สูงอายุรับเงินเบี้ยยังชีพคนชรา และเงินบำนาญไปพร้อมๆกันซึ่งซ้ำซ้อนกันเป็นจำนวนกว่า 15,000 คนทั่วประเทศ ไม่เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2552 จึงมีหนังสือแจ้งไปยังกรมการปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อแจ้งให้ท้องถิ่นต่างๆทั่วประเทศตรวจสอบรายชื่อผู้สูงอายุในเขตอำนาจของตน เพื่อทวงคืนเงินทั้งหมดส่งกลับกรมบัญชีกลาง เพราะตามหลักกฎหมายถือว่า “เป็นลาภมิควรได้” จนกลายเป็นประเด็นปัญหาต่อผู้สูงอายุจำนวนมาก
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การมาเรียกเงินคืนจากผู้สูงอายุในขณะนี้ ถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย เนื่องจากตามหลักกฎหมายว่าด้วยเป็นลาภมิควรได้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 412 ระบุว่า “เมื่อบุคคลได้รับไว้โดยสุจริต จึงต้องคืนลาภมิควรได้เพียงส่วนที่ยังมีอยู่ในขณะเมื่อเรียกคืน” เท่านั้น และในมาตรา 419 ก็บัญญัติไว้ชัดเจนว่า “ในเรื่องลาภมิควรได้นั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ฝ่ายผู้เสียหายรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืน หรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้น”
กรณีการจ่ายเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุดังกล่าว เป็นการดำเนินการของรัฐบาลผู้เสียหาย คือ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่เริ่มมีระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2552 ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 22 ต.ค.2552 หรือกว่า 11 ปี โดยกระทรวงการคลัง เริ่มมีการตรวจพบปัญหาความซ้ำซ้อนดังกล่าวมาตั้งแต่เดือน พ.ย.2562 และต่อมากรมบัญชีกลาง ก็ได้มีหนังสือแจ้งไปยังกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นให้แจ้งจังหวัด อำเภอและท้องถิ่นต่างๆ ในการทวงถามการขอเงินคืนไปยังผู้สูงอายุต่างๆที่รับเงินซ้ำซ้อนดังกล่าว ซึ่งอาจเกินระยะเวลา 10 ปีตามที่กฎหมายกำหนดไปแล้ว
อ่านข่าวเพิ่ม โคราชผู้สูงอายุ 610 คน ถูกเรียกเบี้ยยังชีพคืนย้อนหลัง

ชี้หมดสิทธิทวงคืนคดีหมดอายุความ
นอกจากนั้นยังมีหลักฐานอีกว่านางนิโลบล แวววับศรี รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ก็ได้แถลงเองว่าเหตุผลที่เพิ่งมีการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว ทั้งที่การจ่ายเงินผู้สูงอายุเริ่มมาตั้งแต่ปี 2552 เพราะการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกระทรวงมหาดไทย กับกรมบัญชีกลาง เพิ่งการเชื่อมโยงอย่างสมบูรณ์เมื่อปี 2563
ข้อมูลที่พบว่ามีการรับเงิน 2 ทาง คือ ทั้งเบี้ยยังชีพคนชรา และเงินบำนาญจึงเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการชี้ให้เห็นว่า กรมบัญชีกลาง และกระทรวงการคลัง เริ่มรับรู้ถึงความเสียหายเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี หรือเกินระยะเวลา 10 ปีไปแล้ว จึงไม่มีสิทธิฟ้องร้องเรียกเงินคืน เพราะขาดอายุความไปแล้วนั้นเอง
อีกทั้งมีแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 10850/2559 ระบุไว้ชัดเจนว่า “จำเลยได้รับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญไว้ โดยสุจริตและนำไปใช้จ่ายหมดแล้วก่อนที่โจทก์จะเรียกคืน จำเลยจึงไม่ต้องคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 412” ดังนั้นการที่กรมบัญชีกลางเรียกคืนเงินดังกล่าว จึงใช้อำนาจกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมายนั้นเอง

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ผู้สูงอายุ 13 คนที่โคราช ถูกเรียกคืนเบี้ยยังชีพย้อนหลัง
คลังสั่งรื้อระเบียบการจ่ายเงินซ้ำซ้อน "เบี้ยสูงอายุ"
หญิง 89 ปี ยันไม่เปิดรับบริจาค ขอผ่อน 20 เดือนคืนเบี้ยผู้สูงอายุ
"อนุพงษ์" ยืนยันหาทางแก้จ่ายเงินซ้ำซ้อน "เงินบำนาญ-เบี้ยชรา"