ที่ตลาดสดย่านถนนรามอินทรา มีประชาชนมาใช้จ่ายซื้อสินค้าในช่วงวันหยุดยาวกันอย่างคึกคัก บางครอบครัวออกมาใช้สิทธิในโครงการเราชนะเป็นครั้งแรก สินค้าที่เลือกคือข้าวเหนียว 1 กระสอบ และข้าวสารเจ้าอีก 1 กระสอบ
และยังบอกว่า ที่เลือกซื้อข้าว เพราะสามารถตุนไว้ได้นานเกือบครึ่งปี และตั้งใจมาซื้อข้าวสารเพียงอย่างเดียว รวมแล้วใช้จ่ายไป 4,000 กว่าบาท เงินที่รัฐให้ยังเหลือซื้อกับข้าวได้ ส่วนรายได้จะเก็บไว้จ่ายค่าเช่าบ้าน 3,500 บาท และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ไม่ต่างจากพนักงานโรงแรม ที่ได้สิทธิในโครงการเราชนะเช่นกัน ตั้งใจจะมาซื้ออาหารในช่วงวันหยุด โดยระบุว่าโครงการนี้สามารถลดค่าครองชีพได้ 7,000 บาท แต่ก็ยอมรับว่าอาจมีปัญหาการใช้งานเป็นครั้งคราว เช่น ระบบล่ม ทำให้ต้องเสียเวลารอเพื่อใชใหม่
ขณะที่ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการของรัฐทั้งคนละครึ่ง และเราชนะ ระบุตรงกันว่า ช่วยกระตุ้นยอดขายได้มาก โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดที่มีประชาชนออกมาจับจ่ายมากกว่าปกติ และมีการซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 60 และเห็นว่าโครงการนี้ช่วยทั้งกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและร้านค้าย่อยให้สามารถอยู่ได้
ทั้งนี้ สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง “มาตรการเยียวยาโควิด-19 ระลอกใหม่ของรัฐบาล” ระหว่างวันที่ 23 – 26 กุมภาพันธ์ 2564 พบว่าประชาพอใจ มาตรการลดค่าไฟฟ้า-ค่าน้ำ มาตรการคนละครึ่ง ใหม่มากที่สุด แต่ตั้งเงื่อนไขมากเกินไป เกิดความเหลื่อมล้ำ และขอเยียวยาทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม
ขณะที่ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สำรวจทัศนคติมาตรการ และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ พบว่า โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นโครงการที่พอใจมากที่สุดโดยคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 9 รองลงมาโครงการคนละครึ่ง และโครงการเราชนะ เราเที่ยวด้วยกันและสุดท้ายเรารักกันมาตรา 33