วันนี้ (29 มิ.ย.2564) สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า การทดสอบในกลุ่มอาสาสมัคร 830 คน ที่ได้รับการฉีดวัคซีน 2 เข็ม ในรูปแบบที่ต่างกันออกไป ทั้งฉีดแอสตราเซเนกา 2 เข็ม, ฉีดไฟเซอร์ 2 เข็ม, ฉีดไฟเซอร์ 1 เข็มตามด้วยแอสตราเซเนกา 1 เข็ม และฉีดแอสตราเซเนกา 1 เข็ม ตามด้วยไฟเซอร์อีก 1 เข็ม พบว่า การฉีดวัคซีนทั้ง 4 แบบ กระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อ COVID-19 ได้ดีทั้งหมด
สำหรับการฉีดแอสตราเซเนกาก่อนแล้วต่อด้วยไฟเซอร์เป็นเข็มที่ 2 จะกระตุ้นการสร้างแอนติบอดีและการตอบสนองของเซลล์ภูมิต้านทานชนิดทีเซลล์ได้มากกว่าการฉีดไฟเซอร์เป็นเข็มแรกแล้วต่อด้วยแอสตราเซเนกา
ซึ่งการฉีดวัคซีน 2 ยี่ห้อสลับกันทั้ง 2 วิธี กระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีได้มากกว่าการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกา 2 เข็มตามปกติ แต่ยังไม่มากเท่าการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ 2 เข็ม ส่วนการฉีดแอสตราเซเนกาตามด้วยไฟเซอร์กระตุ้นการตอบสนองของทีเซลล์ได้ดีที่สุด
โดยนักวิจัยระบุว่า ข้อมูลดังกล่าวจะเปิดทางให้แผนการปูพรมฉีดวัคซีนให้ประชากรในประเทศต่าง ๆ ยืดหยุ่นมากขึ้น ในกรณีที่วัคซีนมีไม่เพียงพอ แต่ไม่จำเป็นต้องนำมาใช้ทดแทนแผนการฉีดวัคซีนเดิมทั้งหมด ซึ่งผ่านขั้นตอนการทดสอบทางคลินิกมาอย่างครอบคลุมมากกว่า
ก่อนหน้านี้ เยอรมนีและสเปนเริ่มฉีดวัคซีนไฟเซอร์และโมเดอร์นาเป็นวัคซีนเข็มที่ 2 ให้แก่กลุ่มคนอายุน้อยที่ฉีดแอสตราเซเนกาเป็นเข็มแรกไปแล้ว เนื่องจากข้อกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนแอสตราเซเนกา
ที่มา : BBC, Reuters