วันนี้ (7 ต.ค.2564) นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ แถลงข่าวความคืบหน้ายาต้านไวรัส COVID-19 "ยาโมลนูพิเวียร์" ว่า ยาโมลนูพิราเวียร์เป็นยาต้านไวรัส มีกลไกออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อ COVID-19 ได้เกือบทุกสายพันธุ์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งสายพันธุ์ดั้งเดิม เดลตา หรือมิว ทั้งนี้จากการศึกษาวิจัยแบบ MOVE-IN Trial ในผู้ป่วยอาการหนักพบว่าไม่ได้ผล
แต่การศึกษาแบบ MOVE-OUT Trial ในผู้ป่วยอาการเล็กน้อยถึงปานกลางที่ไม่ได้รับวัคซีน และมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงอย่างน้อย 1 ปัจจัย ได้แก่ ภาวะอ้วน อายุมากกว่า 60 ปี เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง โดยให้ยาภายใน 5 วันตั้งแต่เริ่มมีอาการ พบว่าได้ผลดี
การศึกษาผู้ป่วยในระยะที่ 3 จำนวน 775 คน แบ่งเป็นกลุ่มได้รับยาโมลนูพิราเวียร์ 385 คนขนาด 800 มิลลิกรัม วันละ 2 เวลาเช้าและเย็น 5 วัน กลุ่มได้ยาหลอก 377 คน พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับยาโมลนูพิราเวียร์ลดความเสี่ยงนอนโรงพยาบาลลง 50% ไม่มีผู้เสียชีวิต แต่การศึกษายังไม่ครอบคลุมถึงกลุ่มหญิงตั้งครรภ์และในเด็ก

ไทม์ไลน์นำเข้า "ยาโมลนูพิราเวียร์" ธ.ค.-ม.ค.65
นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า การนำเข้ามาใช้ในประเทศไทยนั้น ต้องรอบริษัทผู้ผลิตขึ้นทะเบียนใช้ในกรณีฉุกเฉินกับ อย.สหรัฐฯ ก่อน แล้วจึงมาขึ้นทะเบียนกับ อย.ประเทศไทย คาดว่าจะนำเข้ามาได้จริงในช่วงธ.ค.64-ม.ค.2565 โดยบริษัทคิดราคาตามลักษณะรายได้ของแต่ละประเทศ ทั้งนี้ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลาง ก็จะซื้อได้ในราคาถูกกว่าประเทศรายได้สูง
สำหรับการนำมาใช้ขณะนี้ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญมาร่วมพิจารณาข้อมูลยาโมลนูพิราเวียร์ว่าจะนำมาใช้แทนยาฟาวิพิราเวียร์ หรือใช้ควบคู่หรือใช้ร่วมกันเป็นสูตรคอกเทล
นอกจากนี้ ยังมีโครงการ MOVE-AHEAD หรือการศึกษายาโมลนูพิราเวียร์ ในการป้องกันการติดเชื้อในผู้ที่สัมผัสกับผู้ติดเชื้อหรือผู้ป่วย COVID-19 เป็นลักษณะของยา PEP ที่รับประทานเพื่อป้องกันโดยจะศึกษาในประเทศไทยในโรงพยาบาล 5 แห่ง ซึ่งมีโรงพยาบาลราชวิถีร่วมด้วย อยู่ระหว่างขออนุมัติคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน คาดว่าจะทำการศึกษาได้ในเดือนธ.ค.นี้
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
สธ.ชงสูตรฉีดวัคซีนใหม่แอสตราเซเนกา-ไฟเซอร์