วันนี้ (20 ต.ค.2564) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังตรวจความพร้อมรองรับนโยบายการเปิดประเทศ ในวันที่ 1 พ.ย. ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ว่า การลงพื้นที่ในวันนี้ เป็นการเตรียมความพร้อมท่าอากาศยานที่รองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง ประกอบด้วย ท่าอากาศยานดอนเมือง, ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ท่าอากาศยานเชียงใหม่, ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย, ท่าอากาศยานหาดใหญ่ รวมถึงท่าอากาศยานภูเก็ต ที่ก่อนหน้านี้ได้เปิดโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ไปแล้วเมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ถือเป็นการดำเนินการตามนโยบายการเปิดประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มีนโยบายเปิดรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว และมีการตรวจ Swab ตรวจหาเชื้อโควิด-19 แล้วไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง ประกอบกับได้มีการจัดหาวัคซีนให้กับประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศไทย มีปริมาณเพียงพอ หรือ 120 ล้านโดส ในปี 2564 และอีกกว่า 60 ล้านโดส ในปี 2565 ทั้งนี้เพื่อต้องการฟื้นตัวทางด้านเศรษฐกิจ อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยว และเพิ่มกำลังการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศไทย
สำหรับนโยบายการเปิดประเทศดังกล่าวจะแบ่งการดำเนินการออกเป็น 3 ระยะ คือ 1 พ.ย. 2564 จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาจากประเทศต้นทางที่ประเมินว่า มีความเสี่ยงต่ำให้สามารถเดินทางทางอากาศเข้ามายังประเทศไทยโดยไม่ต้องกักตัว เบื้องต้นคาดมี 10 ประเทศ เช่น อังกฤษ จีน เยอรมัน สิงคโปร์ เป็นต้น ก่อนที่จะขยายผลไประยะที่ 2 ในช่วง ธ.ค. 2564 และระยะที่ 3 ช่วง ม.ค.2564 ต่อไป
อย่างไรก็ตามจะนำบทเรียนของภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์มาปรับปรุงแก้ไขและประยุกต์ใช้กับอีก 5 ท่าอากาศยาน ทั้งเรื่องการอำนวยความสะดวกสบาย รวมถึงมาตรการด้านความปลอดภัยทางสาธารณสุข
นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า จากการตรวจความพร้อมพบว่าขั้นตอนต่างๆ เป็นระบบ โดยระยะเวลาของผู้โดยสารตั้งแต่ลงจากเครื่องบินจนถึงกระบวนการต่างๆ ใช้ระยะเวลาประมาณ 25 นาที/คน เร็วกว่าภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ที่ใช้เวลา 30 กว่านาที/คน
ทั้งนี้คาดการณ์ว่าในช่วงการเปิดระยะแรกจะมีผู้โดยสารใช้บริการท่าอากาศยานดอนเมืองอยู่ที่ 10,000 คน/วัน หรือประมาณ 20% เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่มีผู้โดยสารอยู่ที่ 50,000 คน/วัน โดยยืนยันว่า ทั้ง 6 ท่าอากาศยาน มีความพร้อมในการรองรับการเปิดประเทศ 100% อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน จากการรายงานของท่าอากาศยานดอนเมือง พบว่า หากรัฐบาลต้องการเกิดความคล่องตัวในการดำเนินการนั้นอาจจะให้พิจารณารับผล Swab ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ไม่เกิน 72 ชั่วโมง และหลักฐานการรับวัคซีนครบ 2 โดสมาใช้เป็นหลักเกณฑ์เบื้องต้น ส่วนหลักประกันอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะกำหนดที่ 50,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 100,000 เหรียญสหรัฐฯ รวมถึงการพิจารณาการขึ้นรถเดินทางไปยังโรงแรมที่พัก เสนอว่าควรจะมีการติดตั้งแผ่นอะคริลิกใสเพื่อกันระหว่างผู้ขับรถกับผู้โดยสาร จากนั้นเมื่อไปถึงที่พักถึงเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจหาเชื้อในรูปแบบ ATK หรือ RT-PCR ต่อไป ทั้งนี้ เพื่อลดความหนาแน่นบริเวณท่าอากาศยาน
นอกจากนี้ ยังสั่งการให้ท่าอากาศยานดอนเมืองจัดทำลูกศรและป้ายประชาสัมพันธ์ เพื่อบอกเส้นทางแก่นักท่องเที่ยวภายในอาคารผู้โดยสารด้วย ก่อนที่จะมีการสรุปการเตรียมความพร้อมในวันที่ 27 ต.ค.นี้ พร้อมทั้งนำข้อเสนอต่าง ๆ ไปหารือกับที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เพื่อนำไปสู่ข้อปฏิบัติที่ชัดเจนต่อไป
นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า ส่วนของขาออกจากประเทศนั้น มอบหมายให้ประสานงานกับประเทศปลายทางถึงขั้นตอนและรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อให้สายการบินที่ประเทศต้นทางดำเนินการให้เรียบร้อยก่อนการเดินทาง ขณะที่ผู้โดยสารภายในประเทศนั้นจะใช้มาตรฐานเดียวกัน คือ ก่อนการซื้อตั๋วโดยสารจะต้องแสดงหลักฐานหรือเอกสารการฉีดวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว และมีการตรวจ Swab ตรวจหาเชื้อแล้วไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง เพื่อความมั่นใจและความปลอดภัยในการเดินทาง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
"คมนาคม" เตรียมหารือ ศบค.ให้นักท่องเที่ยวโชว์ผลฉีดวัคซีนครบ 2 โดสก่อนซื้อตั๋ว
"หมอประสิทธิ์" แนะ ต้องเข้ม 3 มาตรการก่อนเปิดประเทศ
#ประยุทธ์ ติดเทรนด์ข้ามคืน เปิดประเทศ-เปิดร้านเหล้า