เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2565 ตามเวลาท้องถิ่นกรุงซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกาชาวเอเชีย-อเมริกันร่วมขบวน Asian Justice Rally เพื่อรำลึก 1 ปี การเสียชีวิตของนายวิชา รัตนภักดี ชายสูงอายุชาวไทยที่เสียชีวิตจากความรุนแรงในสหรัฐฯ หลายฝ่ายเชื่อว่า มีสาเหตุมาจากการเหยียดเชื้อชาติ โดยการรวมตัวครั้งนี้ไม่เพียงแต่รำลึกกรณีนายวิชาเท่านั้น แต่ยังมีการจัดเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลกิจกรรมการณรงค์ภายในอีกด้วย
ทั้ง 2 กิจกรรมมีเป้าหมายเดียวกัน คือ รวมกลุ่มชาวเอเชียเพื่อขับเคลื่อนความยุติธรรมให้กับผู้เสียหายจากอาชญากรรมชาวเอเชีย-อเมริกัน อีกหลายชีวิตที่เสียชีวิตจากการเหตุการณ์ความรุนแรง ซึ่งหลายกรณีเกิดเพราะเหยียดเชื้อชาติและสัญชาติ อีกทั้งเป็นการรณรงค์เพื่อลดความรุนแรงจากความเกลียดชังที่เกิดกับชาวเอเชียในสหรัฐฯ ในยุคโรคระบาดโควิด-19 ด้วย

มณฑนัศ รัตนภักดี บุตรสาวนายวิชา ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าของกรณีคดีความการทำร้ายบิดาของตนว่า ขณะนี้คดีความยังอยู่ในช่วงการสืบสวนของศาลชั้นต้น ยังไม่มีการส่งฟ้อง โดยศาลนัดไต่สวนอีกทีวันที่ 23 ก.พ.นี้
มณฑนัศ ยังกล่าวว่า เข้าใจว่าเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะโรคระบาด ซึ่งตนและครอบครัวผิดหวังกับความล่าช้าของคดี แต่ยังไม่สิ้นหวังจากการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมให้บิดาของตนรวมทั้งเหยื่ออาชญากรรมชาวเอเชียรายอื่น ๆ
ทนายทั้งสองฝ่ายยังคงรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อสู้คดีอยู่ เราเองยังไม่รู้เหมือนกันว่าอัยการจะมีอะไรมาเสนอต่อผู้พิพากษา แต่เราก็ยังเชื่อว่าคดีความของคุณพ่อจะเป็นตัวอย่างความยุติธรรมให้แก่ผู้เสียหายจากอาชญากรรมที่เกิดจากการเหยียดเชื้อชาติ เราก็ผิดหวังนะเพราะคดีอื่น ๆ ในรัฐนี้จบเร็ว ปิดเร็ว คือไม่เทียบกับรัฐอื่นนะ เอาแค่รัฐนี้ เราคิดว่าควรจะเร็วกว่านี้ อยากให้ลงโทษผู้ก่อเหตุอย่างจริงจัง ไม่อยากให้การเสียชีวิตของพ่อเปล่าประโยชน์
อย่างไรก็ตามขณะนี้ทางบอร์ดบริหารกรุงซานซิสโก หรือ Board of Supervisors อยู่ในระหว่างการลงความเห็นอนุมัติเบื้องต้น และมีความเป็นไปได้ว่า อาจจะมีการเปลี่ยนชื่อถนน Sonora Lane ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุทำร้ายนายวิชา เป็น Vicha Ratanapakdee Lane ขณะนี้รอให้ออกเป็นกฏหมาย เพื่อเป็นการเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการ

แกรี่ คุณาบุตร ตำรวจอเมริกันเชื้อสายไทย ซึ่งเพิ่งได้รับตำแหน่งตำรวจดีเด่น ให้สัมภาษณ์ว่า จริง ๆ เรื่องอาชญากรรมในกรุงซานฟรานซิสโกนั้นมีเป็นรายวัน และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตนในนามคนไทย คนเอเชียเข้าใจดีว่า มีข่าวน่าเศร้าเกิดขึ้นกับพี่น้องชาวเอเชียย่อมสร้างความลำบากใจ ความกลัวแก่คนเชื้อสายเอเชียไม่น้อย สิ่งที่ตนกังวลมากที่สุดคือ คนเอเชียสูงวัยหลายคนไม่รู้ภาษา พอเกิดเหตุร้ายแรงก็ไม่กล้าคุยกับตำรวจ กลัวคุยไม่รู้เรื่อง
"อยากฝากให้ทุกๆคนโดยเฉพาะคนไทยว่า ไม่ว่าทักษะภาษาดีภาษาแย่ให้เปิดใจคุยกับตำรวจก่อน ถ้าต้องใช้ล่ามจริง ๆ ก็จะพยายามช่วย แต่อย่าเงียบ เพราะถ้าเงียบ คดีความไม่คืบหน้าแน่ ๆ" แกรี่กล่าว
แซม ชาวกัมพูชาในซานฟรานซิสโก กล่าวว่า ตนเป็นคนนึงที่มองว่า คนเอเชียรุ่นใหม่มีหัวคิดก้าวหน้าและกล้าเคลื่อนไหวผ่านสังคมออนไลน์ การเดินขบวนตามท้องถนน ตลอดจนทำกิจกรรมที่หลากหลาย อย่างไรก็ตามตนอยากให้เพิ่มกรณีผู้เสียหายจากอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชังชาวเอเชีย เป็นกรณีศึกษาในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเข้าไปด้วย
"เราได้ยินเรื่องทาสผิวสี เราได้ยินเรื่องคนอินเดียแดงถูกทำร้าย แต่เราไม่ได้ยินเรื่องคนเอเชียถูกทำร้ายบ่อยนัก เรามักได้ยินแต่คนเอเชียเรียนเก่ง คว้าแชมป์ อะไรพวกนี้ ผมว่ามันเป็นข่าวดีแต่มันควรจะมีการพูดถึงปัญหาเด็กเอเชียบ้าง ผมจึงมาเดินขบวนมาหาช่องทางร่วมเป็นอาสาสมัครเพราะผมอยากให้สังคม Bay area น่าอยู่และปลอดภัย " แซมกล่าว
แซมพูดถึงกรณีนายวิชาด้วยว่า อีกประเด็นที่ตนอยากร่วมสนับสนุนคือ เหตุการณ์อาชญากรรมที่เกิดกับคนวัยชราสูงขึ้น ไม่ว่าจะเกิดกับคนชาติใด ตนมองว่าไม่ควรมี กรณีลุงวิชาควรเป็นกรณีสุดท้าย เพราะคนชราเปราะบาง ความปลอดภัยบนท้องถนนในชุมชนควรมีมากกว่านี้ ซึ่งซานฟรานซิสโก ล้มเหลว และผู้บริหารควรมีความเข้มงวดมากกว่านี้
แท็กที่เกี่ยวข้อง: