เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2568 BBC รายงาน สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ทรงใช้พระดำรัส Urbi et Orbi ในวันคริสต์มาส ซึ่งเป็นหนึ่งในพิธีกรรมสำคัญที่สุดของคริสตจักรคาทอลิก ส่งสารถึงประชาคมโลกให้หันกลับมาทบทวนคุณค่าของสันติภาพ ท่ามกลางสงครามและความขัดแย้งที่ยังคงปะทุในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อมานานหลายปี
พระองค์ทรงเน้นย้ำว่า หนทางสู่สันติภาพไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจาก "ความกล้าหาญ" ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะความกล้าที่จะยุติการใช้กำลัง และหันมาเปิดการเจรจาอย่างตรงไปตรงมา จริงใจ และให้เกียรติซึ่งกันและกัน ภายใต้การสนับสนุนของประชาคมระหว่างประเทศ
คำเรียกร้องดังกล่าวมีขึ้นในช่วงที่สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรพยายามเดินหน้ากระบวนการทางการทูต เพื่อหาข้อตกลงยุติการสู้รบในยูเครน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการหารือในระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง แต่การเจรจาโดยตรงระหว่างรัฐบาลรัสเซียและยูเครนยังไม่เกิดขึ้นในรอบล่าสุด ส่งผลให้แนวโน้มสันติภาพยังคงเปราะบาง
นอกเหนือจากสมรภูมิในยุโรปตะวันออก สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ยังทรงกล่าวถึงความขัดแย้งในภูมิภาคอื่นของโลก รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทรงเอ่ยถึงสถานการณ์ตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งมีรายงานการปะทะรุนแรง แม้ทั้ง 2 ฝ่ายจะประกาศหยุดยิงตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา
พระองค์ทรงเรียกร้องให้ทั้ง 2 ประเทศรื้อฟื้น "มิตรภาพอันเก่าแก่" ที่มีมายาวนาน และร่วมกันแสวงหาหนทางแห่งการปรองดองและสันติภาพ โดยเน้นว่าความขัดแย้งในภูมิภาคหนึ่งย่อมส่งผลสะเทือนต่อเสถียรภาพของโลกโดยรวม
ในช่วงพิธีมิสซาวันคริสต์มาส ณ มหาวิหารนักบุญเปโตรก่อนหน้านั้น สมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 14 ทรงกล่าวถึงผลกระทบของสงครามต่อผู้คนที่เปราะบางที่สุดในสังคม โดยเฉพาะผู้ไร้บ้านและประชากรที่ถูกบีบให้ต้องอพยพจากถิ่นฐาน
พระองค์ทรงสะท้อนว่า สงครามไม่เพียงทำลายอาคารบ้านเรือนหรือโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังทิ้งบาดแผลที่เปิดค้างอยู่ในชีวิตของผู้บริสุทธิ์ ซึ่งยากจะเยียวยาได้ในระยะเวลาอันสั้น ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
พระดำรัสของพระองค์ยังเชื่อมโยงกับเรื่องการประสูติของพระเยซูคริสต์ โดยทรงอธิบายว่า การที่พระเจ้าทรงเลือกบังเกิดในสภาพที่เปราะบาง เป็นสัญลักษณ์ว่าพระองค์ทรงยืนอยู่เคียงข้างผู้ทุกข์ยาก และตั้งคำถามต่อมโนธรรมของโลกเกี่ยวกับสถานการณ์ในกาซา พระองค์ทรงกล่าวถึงภาพของเต็นท์ชั่วคราวในกาซา ซึ่งประชาชนจำนวนมากต้องอาศัยอยู่ท่ามกลางฝน ลม และอากาศหนาวเย็น หลังบ้านเรือนถูกทำลายจากการโจมตีทางทหารตลอดสงครามที่ยืดเยื้อกว่า 2 ปี นับตั้งแต่เหตุโจมตีของกลุ่มฮามาสต่ออิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2566
สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ประชากรกว่า 2,100,000 คนในกาซาเกือบทั้งหมดต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่น ขณะที่องค์กรด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศเตือนว่า วิกฤตด้านอาหาร ที่อยู่อาศัย และการแพทย์กำลังทวีความรุนแรง โดยเรียกร้องให้อิสราเอลเปิดทางให้ความช่วยเหลือเข้าสู่พื้นที่มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายอิสราเอล โดยหน่วยงานโคกัต ซึ่งรับผิดชอบการควบคุมด่านพรมแดนกาซา ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการจำกัดความช่วยเหลือ พร้อมยืนยันว่า มีการส่งมอบเต็นท์และผ้าใบแล้วเกือบ 310,000 หลัง นับตั้งแต่เริ่มข้อตกลงหยุดยิงในเดือน ต.ค.
อ่านข่าวอื่น :
"ฮุน มาเนต" โทรคุย รมต.ต่างประเทศสหรัฐฯ ผลักดันหยุดยิงทันที
จับตา "GBC วันที่ 3" นายกฯ ประชุม สมช. เล็งหารือหากกัมพูชาไม่รับ 3 ข้อเสนอไทย
บุรีรัมย์-สุรินทร์ อยากให้ทหารจบภารกิจโดยเร็ว ส่งกำลังใจครอบครัวผู้เสียสละ











