วันนี้ (14 ก.ย.2565) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม กล่าวเปิดประชุมคณะทำงานด้านการขนส่งของเอเปค ครั้งที่ 52 (the 52nd APEC Transportation Working Group: TPTWG52) ภายใต้เป้าหมายหลัก คือ "การขนส่งที่ไร้รอยต่อ อัจฉริยะ และยั่งยืน" (Seamless, Smart and Sustainable Transportation)
เพื่ออำนวยความสะดวกการค้า การลงทุน และฟื้นฟูความเชื่อมโยงด้านการเดินทางและการท่องเที่ยวในเขตเศรษฐกิจเอเปคและระดับโลก ทั้งรูปแบบ Online และ Onsite
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhwntakBxeaK0irJ8TlNlwfX4GLv.jpg)
สำหรับการประชุมด้านการขนส่งของเอเปคครั้งนี้ ถือเป็นเป็นเวทีสำคัญในการหารือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นร่วมกัน ระหว่างกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทั้ง 4 สาขา คือ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งทางอากาศ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบและระบบขนส่งอัจฉริยะ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งทางบก และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งทางน้ำ
เพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานทั้งในมิติบก น้ำ ราง และอากาศ เสริมสร้างความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานและโอกาสในการเติบโตและฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในยุคหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
โดยเน้นการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามแนวคิด และการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อการขนส่งที่ยั่งยืนในภูมิภาค ซึ่งที่ประชุมได้มีการหารือและรับรองแผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของเอเปค ปี 2565-2568
ซึ่งจะเป็นกรอบการทำงาน และแนวทางในการพัฒนาแผนงานประจำปีและกิจกรรมของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญใน 4 สาขา รวมถึงโครงการต่าง ๆ ในกรอบเอเปคด้านการขนส่ง เพื่อบรรลุตามวิสัยทัศน์ปุตราจายา ภายใต้กรอบเอเปค ปี ค.ศ.2040 ที่มุ่งสร้างเขตเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิกที่เปิดกว้าง มีพลวัต ยืดหยุ่น และสันติสุข เพื่อความรุ่งเรืองของประชาชนและคนรุ่นหลัง
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhwntakBxeaK0irIJ93cN7agUmf7.jpg)
นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า ไทยได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี สำหรับแผนยุทธศาสตร์ระยะ 20 ปี กระทรวงคมนาคมได้นำเสนอว่า ในขณะนี้ ได้ดำเนินการระยะที่ 1 กล่าวคือ การพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เช่น โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3, การพัฒนาเมืองการบินอู่ตะเภา
รวมถึงแผนพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและระบบราง (MR-Map) ทั้งนี้ เพื่อเชื่อมโยงในเขตเศรษฐกิจเอเปคด้วยตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ และศักยภาพที่จะเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างเขตเศรษฐกิจในการเป็นศูนย์กลางด้านคมนาคมขนส่งของภูมิภาค
นอกจากนี้ นายศักดิ์สยาม ยังกล่าวว่า ยังได้นำเสนอโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (แลนด์บริดจ์) ซึ่งจะเป็นเส้นทางเดินเรือใหม่ และเป็นประตูเศรษฐกิจของโลก
โดยไทยจะใช้ต้นแบบท่าเรือ Tuas ของประเทศสิงคโปร์ ที่ตั้งเป้าหมายในการเป็นท่าเทียบเรือตู้สินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก สามารถรองรับตู้สินค้าได้ 65 ล้านทีอียู ในระยะ 20 ปี หรือปี 2585
ซึ่งในส่วนของประเทศไทย ถือว่ามีข้อได้เปรียบในการเป็นจุดศูนย์กลางของภูมิภาค เชื่อมต่อการขนส่งทางน้ำ ตามนโยบายสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และราคาสมเหตุสมผล
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhwntakBxeaK0irEsvsTgfzzumv9.jpg)
สำหรับความคืบหน้าโครงการแลนด์บริดจ์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา และลงรายละเอียดตามต้นแบบของสิงคโปร์ คาดว่าจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้
จากนั้นจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พิจารณาเห็นชอบในหลักการภายในปี 2565 ก่อนที่ในปี 2566 จะไป Roadshow ของโครงการทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อดึงดูดความสนใจของนักลงทุน
ส่วนการดำเนินการโครงการ ในปี 2566 ก็จะเห็นความชัดเจนและเป็นรูปธรรม ส่วนการเริ่มดำเนินการก่อสร้าง จะต้องรอรัฐบาลชุดใหม่ต่อไป โดยตามแผนธุรกิจ จะแล้วเสร็จในปี 2573
อย่างไรก็ตาม ตั้งเป้าหมายให้ดำเนินการแล้วเสร็จเร็วกว่าที่กำหนด เนื่องจากท่าเรือ Tuas ใช้ระยะเวลาก่อสร้างเพียงเพียง 3 ปี
นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า ส่วนรูปแบบการลงทุน ได้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ไปพิจารณาศึกษาและความเป็นไปได้ในการดำเนินการ
โดยแนวทางเบื้องต้น จะเป็นความร่วมมือกับพันธมิตร (Partner) ในต่างประเทศ ที่มีสายการเดินเรือแห่งชาติ เพื่อให้คุ้มค่าการลงทุน และมีอัตราผลประโยชน์ทางเศรษฐศาสตร์ของโครงการ (EIRR) ที่เหมาะสม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ของส่วนรวมและประเทศชาติ รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันต่อไป
![](https://news.thaipbs.or.th/media/TSNBg3wSBdng7ijMhwntakBxeaK0irDCBr4KEtY3S6D.jpg)
ทั้งนี้ รูปแบบการลงทุน ก็จะประยุกต์ใช้แนวทางของท่าเรือ Tuas มีการลงทุนมูลค่า 2.7 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยภาครัฐลงทุน 40 % และบริษัทที่มีการประกอบธุรกิจ โดยมีรายได้จากการถือหุ้นในบริษัทอื่นเป็นหลัก และไม่มีการประกอบธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญเป็นของตัวเอง
ซึ่งอาจเป็นการลงทุนบริษัทในประเทศและ หรือบริษัทต่างประเทศ (Holding Company) ลงทุน 60 % สามารถคืนทุนได้ภายใน 7 ปี เนื่องจากมีการใช้ระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วยดำเนินการ พร้อมทั้งการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ด้วย
นายศักดิ์สยาม กล่าวต่ออีกว่า สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์ จะเป็นรูปแบบการบริหาร 2 ท่าเรือให้เป็นท่าเรือหนึ่งเดียวกัน (One Port Two Sides) โดยจะดำเนินการควบคู่ไปพร้อมกัน ถือเป็นจุดเชื่อมต่อการขนส่งและเศรษฐกิจใหม่ทางทะเล
เปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าของภูมิภาค เชื่อมการขนส่งกับเส้นทางมอเตอร์เวย์ และทางรถไฟ คู่ขนานแนวเส้นทางร่วมกันตามแผนบูรณาการมอเตอร์เวย์เชื่อมต่อแนวเส้นทางรถไฟทางคู่ (MR-MAP) สร้างความเชื่อมโยงระหว่างเขตเศรษฐกิจใน APEC อย่างไร้รอยต่อ
รายงานข่าวจาก สนข. ระบุว่า สำหรับมูลค่ารวมของโครงการแลนด์บริดจ์ วงเงิน 1,194,307 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการลงทุนท่าเรือ วงเงิน 938,607 ล้านบาท และโครงการลงทุนเส้นทางเชื่อมโยง วงเงิน 255,544 ล้านบาท