ปมอื้อฉาวระหว่างสีกากับพระชั้นผู้ใหญ่นับสิบรูป เป็นวิกฤตศรัทธาระลอกใหญ่ในรอบหลายปีที่เขย่าศรัทธาวงการผ้าเหลือง แม้พระที่มีสัมพันธ์กับสีกา ต้องอาบัติปาราชิก ลาสิกขาไปแล้ว แต่คำถามคาใจชาวพุทธ ยังไม่จบง่ายๆ
การลาสิกขา หรือสึกจากกรณีเสพเมถุน เป็นความผิดทางธรรมวินัยร้ายแรง แต่ในทางกฎหมายไม่มีบทลงโทษอะไรเลย จนเกิดเสียงเรียกร้องว่าถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ไทยต้องยกเครื่องกฎหมาย มาจัดการทั้งกับคนนอกและพระที่ประพฤติเสื่อมเสีย ไม่ให้ลอยตัว
นายประยุทธ ประเทศเสนา รองประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม เปรียบเทียบสถานการณ์พระสงฆ์ชุดใหญ่ ที่ทยอยลาสิกขา ในช่วง 2 สัปดาห์ จากเหตุเสพเมถุน ซึ่งถือเป็นอาบัติร้ายแรงที่สุดในพระวินัย ว่าเป็นเหมือน "ฝีหนองแตก"
แม้ต้องปาราชิก ขาดจากความเป็นพระตลอดชีวิต แต่กรณีเสพเมถุน กลับไม่มีโทษในทางกฎหมายโดยตรง กลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ ทั้งฆราวาสชาย-หญิง และพระนอกแถว ไม่เกรงกลัว พอถูกจับได้ ถูกประณาม จับสึก ก็จบกันไป หรือบางส่วนแฝงกลับมาบวชสร้างความมัวหมองซ้ำ
ขณะเดียวกัน การกล่าวหาพระสงฆ์กระทำผิดเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะการจะชี้ว่า พระผิดหรือไม่ผิดเกี่ยวข้อง 3 เรื่อง คือ
1.หลักพระธรรมวินัย ว่ากันตามพระไตรปิฎก
2.พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ต้องดูจากกฎระเบียบ มติต่างๆ ของมหาเถรสมาคม และสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่ใช้ปกครองคณะสงฆ์
3.กฎหมายบ้านเมือง เช่น แพ่งและพาณิชย์ , อาญา, พ.ร.ป. ป.ป.ช.
ซึ่งขั้นตอนพิจารณาทั้งสามส่วนที่ยิบย่อย ไม่ได้มีบทบัญญัติลงโทษชัดเจนไปด้วยกัน จึงยากทั้งมหาเถรสมาคม สำนักพุทธฯ และเจ้าหน้าที่บ้านเมือง จะเชื่อมโยงและลงโทษว่าพระรูปนั้นมีความผิดหรือไม่ และจะลงโทษอย่างไร
ต้องยอมรับว่าไทยยังหละหลวมเรื่อง กฎหมายและบทลงโทษทั้งแพ่งและอาญากับฆราวาสและพระสงฆ์ กรณีเสพเมถุน แตกต่างกับประเทศอื่นๆ ที่นับถือพุทธเถรวาทเหมือนกัน ที่กฎหมายเข้มแข็ง เช่น
ลาว-มีบทลงโทษ จำคุก 6 เดือน-3 ปี ปรับ 500,000 3,000,000 กีบ แต่ละคนคิดเป็นกระทงๆ ไป หรือ เมียนมา และศรีลังกา มีศาลสงฆ์พิจารณาพระสงฆ์ และฆราวาส ที่บิดเบือนคำสอน ส่วนศาลบ้านเมือง มีหน้าที่ลงโทษ
สำนักพุทธฯ จึงถือโอกาสท่ามกลางวิกฤตศรัทธา ปัดฝุ่นร่างกฎหมายที่เคยยกร่างไว้ คือ ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์ และคุ้มครองพระพุทธศาสนา เพื่อเอาผิดทั้งคนนอก ที่เข้ามาทำผิด และพระสงฆ์ ซึ่งนักกฎหมายด้านพุทธศาสนา ระบุว่าจะต้องทำประชาคมทั้งจากฝ่ายคณะสงฆ์ และชาวพุทธด้วย
ล่าสุดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เตรียมปัดฝุ่น พ.ร.บ.ส่งเสริมพระพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ซึ่งได้เคยยกร่างไว้ตั้งแต่ปี 2564-2565
เนื้อหาสำคัญ คือการ เอาผิด พระ–ฆราวาส ทำให้พระศาสนาเสื่อม เช่น พระภิกษุที่อาบัติปาราชิก ต้องจำคุก 1–7 ปี หรือ ปรับตั้งแต่ 20,000–140,000 บาท ฆราวาสที่สมัครใจเสพเมถุนกับพระหรือเณร มีโทษจำและปรับเช่นเดียวกัน ไม่ว่าเพศใด
เช่นเดียวกับพระอวดอุตริ บอกหวย ทดลองของขลัง ต้องจำคุก 1–7 ปี หรือ ปรับ 20,000–140,000 บาท
อ่านข่าว :
คณะสงฆ์ขอนแก่น เร่งหาข้อเท็จจริงกรณีพระโอนเงินให้สีกา
เสื่อมศรัทธา - แต่ไม่ผิดกฎหมาย? เสียงเรียกร้องให้มีกฎหมายเอาผิดพระพลาดวินัย