"พล.ต.อ.สุรเชษฐ์" เผยขยายผล 4 ผับเกี่ยวข้องนายทุนจีนสีเทา

อาชญากรรม
23 พ.ย. 65
19:41
360
Logo Thai PBS
"พล.ต.อ.สุรเชษฐ์" เผยขยายผล 4 ผับเกี่ยวข้องนายทุนจีนสีเทา
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
"พล.ต.อ.สุรเชษฐ์" แถลงความคืบหน้าขยายผลตรวจสอบสถานบันเทิง 4 แห่ง พบเชื่อมโยงกัน มีพฤติการณ์กลุ่มทุนจีนเป็นเจ้าของ ใช้คนไทยเป็นนอมินีบังหน้า

วันนี้ (23 พ.ย.2565) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เปิดเผยความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนและตรวจสอบความเกี่ยวข้องกันของสถานบันเทิง 4 แห่ง ต้องสงสัยว่ามีคนจีนเป็นผู้ลงทุนโดยให้คนไทยเป็นนอมินี ประกอบด้วย ร้านคลับวัน พัทยา พื้นที่ สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ซึ่งมีการตรวจค้นพบยาเสพติดจำนวนมาก

ร้านท็อปวัน พื้นที่ สน.สุทธิสาร พบหญิงชาวจีนเสียชีวิตหลังเที่ยวผับดังกล่าว โดยมีสาเหตุมาจากการเสพยาเกินขนาด, ร้านจินหลิง พื้นที่ สน.ยานนาวา ตรวจค้นพบสารเสพติดในนักเที่ยวชาวจีนกว่า 104 คน และยาเสพติดอีกจำนวนมาก และร้านเบบี้เฟซ พื้นที่ สน.คลองตัน พบความเชื่อมโยงกับนายทุนจีนและใช้คนไทยเป็นนอมินี ซึ่งได้มีการแจ้งความคืบหน้าเป็นระยะ ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุผลการตรวจสอบว่า ร้านจินหลิง หลังการบุกตรวจสอบเมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการสืบสวนขยายผลจับกุมผู้ต้องหา 1 คนคือ นายหวง ไห่ เถา พร้อมยึดของกลางเป็นยาเสพติดประเภทเฮโรอีน ยาอี และแฮปปี้วอเตอร์จำนวนหนึ่ง ซึ่งมีไว้จำหน่ายให้กับลูกค้าที่มาเที่ยวร้าน และตรวจค้นจุดต้องสงสัยอีกกว่า 38 จุด ตรวจยึดรถหรู 5 คันและเงินอีก 19 ล้านบาท

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขยายผลเกี่ยวกับยาเสพติด จนสามารถออกหมายจับและจับกุมดำเนินคดีเพิ่มเติมรวมทั้งหมด 4 คน คือ นายหวง ไห่ เถา สัญชาติจีน, นายเจียง ไต่ หลิน สัญชาติจีน, นายเหมา ยะ ฉวง สัญชาติจีน และนายหวัง เจี้ยน หัว สัญชาติจีน ดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 อันเป็นการมีไว้จำหน่ายเพื่อการค้า อันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชน, ร่วมกันจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 อันเป็นการมีไว้เพื่อการค้า อันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชน, สมคบกันกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและสนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด

หลังจากจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 4 คนแล้ว เจ้าหน้าที่สืบสวนยังรวบรวมพยานหลักฐานและพบความเชื่อมโยงกับบุคคลอื่น จนสามารถขออนุมัติออกหมายจับเพิ่มเติมอีก 2 คน คือ นายชัยณัฐร์ หรือ ตู้ห่าว และนายหยาง เฉิน สัญชาติจีน ดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 อันเป็นการมีไว้จำหน่ายเพื่อการค้า อันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชน, ร่วมกันจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทประเภท 2 อันเป็นการมีไว้เพื่อการค้า อันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชน, สมคบกันกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและสนับสนุนหรือช่วยเหลือผู้กระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด”

ตร.เปิดประวัติ "ตู้ห่าว" โยงผับ "จินหลิง"

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า กรณีผับจินหลิง พบพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงนายตู้ห่าว ผู้ต้องหาตามหมายจับที่เดินทางเข้ามอบตัวในวันนี้ (23 พ.ย.) จากการสืบสวนตำรวจพบหลักฐานน่าเชื่อว่า นายตู้ห่าวอยู่ในผับจินหลิงในคืนวันที่ตำรวจบุกตรวจค้น แต่หลบหนีออกไปได้ และมีหลักฐานน่าเชื่อว่านายตู้ห่าวเป็นเจ้าของผับดังกล่าว เพราะเข้า-ออกหลายครั้งและมีชื่อร่วมเป็นผู้เช่าพื้นที่ด้วย นอกจากนี้มีความน่าเชื่อว่ารู้เห็นและเกี่ยวข้องกับการลักลอบจำหน่ายยาเสพติดในสถานบันเทิงจินหลิง ส่วนการลักลอบเปิดบ่อนการพนัน สันนิษฐานว่าทำบังหน้า

นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังระบุถึงประวัติของนายตู้ห่าว ว่า เมื่อประมาณ 5 ปีก่อน นายตู้ห่าวเคยตกเป็นผู้ต้องหาคดีทัวร์ศูนย์เหรียญ แต่ครั้งนั้นศาลยกฟ้อง กระทั่งการสืบสวนพบว่าหันมาทำธุรกิจผับศูนย์เหรียญ ส่วนประเด็นเงินบริจาคให้กับพรรคการเมืองแห่งหนึ่ง เชื่อว่า พรรคการเมืองไม่ทราบถึงที่มาของเงิน จึงไม่เข้าข่ายมีความผิด แต่หลังการสืบสวนตรวจสอบชัดเจนหากพบว่าเงินจำนวนดังกล่าวได้มาจากการกระทำความผิด ก็จะเรียกคืนและอายัดตามขั้นตอนทางกฎหมาย

กรณีร้านท็อปวัน ซึ่งมีหญิงชาวจีนเสียชีวิต ได้จับผู้ต้องหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซุกซ่อนอำพรางหลักฐานเกี่ยวกับการเสียชีวิตดังกล่าวไปแล้ว 4 คน และได้สืบสวนขยายผลความเกี่ยวข้องในเรื่องยาเสพติด ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าสถานบันเทิงดังกล่าวมีกลุ่มทุนจีนเป็นเจ้าของ โดยใช้ชื่อคนไทยเป็นนอมินี เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ แต่นายทุนจีนดังกล่าวได้แสดงออกชัดเจนว่ามีความเป็นเจ้าของ ซึ่งมีบุคคลที่เกี่ยวข้องและเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้น 2 คน คือ นายวีรยุทธ และนายจาง เจี้ยนกุ้ย สัญชาติจีน

การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 และยังดำเนินคดีในข้อหา ร่วมกันเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งได้ออกหมายจับและจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 คนมาดำเนินคดีเรียบร้อยแล้ว

ตร.พบความเชื่อมโยงเชื่อ 4 กลุ่มรู้จักกัน

กรณีร้านเบบี้เฟซ ตำรวจวางกำลังเข้าตรวจค้น เมื่อวันที่ 1 พ.ย. โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สนธิกำลังกันเข้าตรวจค้นสถานบันเทิงที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนจีน 6 แห่ง รวมทั้งร้านเบบี้เฟซ ซึ่งผลการตรวจสอบภายในร้านพบสารเสพติดในนักท่องเที่ยวภายในร้าน 2 คน

จากการสืบสวนเพิ่มเติมพบว่า ร้านดังกล่าวมีเจ้าของเป็นบุคคลสัญชาติจีน มีคนไทยเป็นนอมินี จึงได้ขยายผลจนทราบว่าเจ้าของสัญชาติจีนคือ นายสุ่ย ไท่ เหว่ย หรือเดวิด โดยได้ขออนุมัติศาลเข้าค้นที่พักของนายเดวิดที่บ้านในซอยสุขุมวิท 63 เขตวัฒนา กรุงเทพฯ ผลการตรวจค้นพบสุราต่างประเทศ บุหรี่ต่างประเทศ บุหรี่ไฟฟ้าพร้อมอุปกรณ์ และอาวุธปืน 2 กระบอก จึงได้จับกุมนายเดวิด พร้อมของกลางดำเนินคดีในความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ร.บ.ศุลกากรฯ และ พ.ร.บ.สรรพสามิตฯ

จากการขยายผลเพิ่มเติมพบว่า นอกจากนายเดวิดซึ่งได้จับกุมดำเนินคดีแล้วนั้น ยังมีกลุ่มบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีก 2 คน โดยเป็นกลุ่มคนจีนมาลงทุนและใช้ชื่อคนไทยเป็นนอมินี ซึ่งคนไทยไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีอำนาจตัดสินใจใดๆ ในการทำธุรกิจดังกล่าว มีหน้าที่เพียงลงลายมือชื่อในเอกสารต่างๆ และได้รับเงินค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเท่านั้น

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาเพิ่มเติม รวมทั้งที่จับกุมแล้วรวม 4 คน ประกอบด้วย บริษัท พอง แบงค็อก จำกัด (ในฐานะนิติบุคคล), นายสุ่ย ไท่ เหว่ย หรือเดวิด, นายจู้ เฉิน สัญชาติจีน และนางทองใส ดำเนินคดีในความผิดฐาน “ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว อันเป็นธุรกิจที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายฯ โดยมิได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจดังกล่าว หรือร่วมประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวโดยแสดงออกว่าเป็นธุรกิจตนแต่ผู้เดียวหรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัด เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนบทบัญญัติตาม พ.ร.บ.ฯ” โดยได้ดำเนินการจับกุมนายเดวิด และนายจู้ เฉิน แล้วรวม 2 คน ที่เหลืออยู่ระหว่างติดตามจับกุม

กรณีร้านคลับวัน พัทยา หลังการตรวจสอบพบยาเสพติด ตำรวจสืบสวนขยายผลจนทราบว่าร้านดังกล่าวเป็นสถานบริการที่มีการกระทำผิดเกี่ยวข้องกับยาเสพติด จึงได้สืบสวนหาเจ้าของร้านที่แท้จริง เพื่อนำมาดำเนินคดีจนทราบว่าร้านดังกล่าวมีบริษัท เดอะ ซิกเนเจอร์ จำกัด เป็นผู้ดำเนินกิจการ ซึ่งมีกรรมการและผู้ถือหุ้นจำนวน 4 คน คือ นายมนู, นายสุนทร, นายนิติพัฒน์ และนายแบงค์

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งหมด ทั้งในฐานะนิติบุคคลและฐานะส่วนตัว รวม 5 หมายจับ 4 บุคคล ดำเนินคดีในความผิดฐาน “ร่วมกันเปิดสถานบริการเกินเวลาที่กำหนดในกฎกระทรวง, ร่วมกันจำหน่ายสุราโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันจำหน่ายสุราเกินเวลาที่กฎหมายกำหนด, ร่วมกันยินยอมหรือปล่อยปละละเลยให้การกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานบริการและผู้ได้รับอนุญาตตั้งสถานบริการ ย้าย แก้ไข เปลี่ยนแปลง (เปลี่ยนชื่อ) สถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาต” ซึ่งติดตามจับกุมมาดำเนินคดีได้ทั้งหมด

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ทั้ง 4 คดีมีพฤติการณ์ใกล้เคียงกันทั้งหมด คือ เป็นสถานบันเทิงที่มีกลุ่มทุนจีนเป็นเจ้าของ โดยใช้คนไทยเป็นนอมินีบังหน้า และยังมีความเชื่อมโยงกับการกระทำผิดประเภทอื่นๆ เช่น ยาเสพติด บ่อนการพนัน หรือคอลเซ็นเตอร์ โดยพบความเชื่อมโยงด้วยว่าทั้ง 4 กลุ่มรู้จักกัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง