หากตำรวจไทยไม่รีบร้อนปฏิเสธทันควัน ปกป้องตำรวจที่ตั้งด่านตรวจในคืนที่เกิดเหตุ รวมทั้งพยายามจับผิดดาราสาวคนเปิดประเด็นในสาระพัดเรื่อง
ตั้งแต่เมาหนัก พูดโวยวาย เป็นเจ้าของบุหรี่ไฟฟ้า หรือกระทั่งเรื่องเวลาที่ถูกตรวจค้นในจุดเกิดเหตุ ซึ่งความจริงจะกินเวลา 47 นาทีหรือ 2 ชั่วโมงไม่ใช่ประเด็น แต่น่าจะอยู่ที่โดนตำรวจรีดเงินหรือไม่ต่างหาก
หากตำรวจ ทั้งกองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจ สน.ห้วยขวาง เจ้าของพื้นที่เกิดเหตุ จะแสดงความใจกว้าง พร้อมรับเรื่องไว้พิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริง และรับปากจะเร่งรีบสอบสวนหาความกระจ่าง หรือแม้แต่รับปากว่า “หากมีมูล หรือตำรวจทำนอกลู่นอกทาง จะต้องดำเนินการลงโทษตามกฎหมายและวินัย”
ตำรวจไทยจะดู “หล่อ” และคงไม่มีทัวร์ลงหนักมากขนาดนี้ ยิ่งมีเรื่องรถแกร็บแท็กซี่ อ้างนั่งอยู่แต่ในรถ ไม่รู้ว่ามีการเรียกเงินหรือไม่ แต่ดาราสาวเมามาก พูดจาโวยวาย รวมทั้งเรื่องกล้องหน้ารถ ไม่สามารถกู้ไฟล์ได้เพราะนานเกิน 20 วันแล้ว
ยิ่งเพิ่มความไม่น่าเชื่อถือจากผู้คน ไม่รู้ว่ารับใบสั่งใครมาหรือไม่ เพราะทำให้เข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากความพยายามด้อยค่าดาราสาวไต้หวัน และหวังเตะถ่วงเรื่องนี้ออกไป
กระทั่งนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ คนที่ครึ่งค่อนชีวิตคลุกคลีอยู่กับตำรวจ และธุรกิจสีขาวสีเทา มาตลอด จะออกโรงตอกย้ำความจริงในเหตุการณ์ อ้างเหตุผลสำคัญคือ เพื่อนสาวชาวไทยที่ไปด้วย เป็นคนยอมรับว่า สามีคนสิงคโปร์เป็นคนจ่ายเงิน 27,000 บาทให้จริง และยังอ้างตำรวจบางส่วนที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งด่าน สารภาพว่ารับเงินจริง
พล.ต.อ.ดำรงค์ศักดิ์ กิตติประภัสสร์ ผบ.ตร. สั่งสอบและดำเนินการทั้งวินัยและอาญา กับตำรวจทุกนายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสั่งให้ผู้บังคับการศูนย์สืบสวนนครบาล รีบบินด่วนไปสอบปากคำดาราสาวไต้หวัน
นอกเหนือจากสั่งตำรวจนครบาลเด้ง ผู้กำกับการ สน.ห้วยขวาง เจ้าของพื้นที่ แต่สำหรับตำรวจนครบาลเอง กลับไม่มีอะไรคืบหน้า นอกจากอ้างว่า อยู่ในขั้นตอนรวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจน ทั้งพยานบุคคล เอกสาร บันทึกคำรับสารภาพและ จำนวนเงินที่เรียกรับ
ทั้งที่การปล่อยนี้ให้เรื่องยืดเยื้อต่อไป ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อภาพพจน์ตำรวจและชื่อเสียงของประเทศเลย และทางตำรวจเองก็เพิ่งจะโดนเรื่องตำรวจ 191 ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอบางส่วน ไปตรวจค้นก่อนนำไปสู่การ “ตบทรัพย์” กลุ่มคนจีนที่บ้านเช่าของอดีตกงสุลใหญ่ประเทศนาอูรูประจำประเทศไทย
เรื่องฉาวนี้ ยังส่งผลกระทบไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศปราบโกงและการทุจริตถึงขั้นเป็นวาระแห่งชาติ แต่องค์กรใต้สังกัดโดยตรง แทนที่จะยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อให้เป็นแบบอย่างที่ดี กลับละเลย
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเป็นทั้งประธาน ก.ตร.คือ กรรมการข้าราชการตำรวจ และก.ต.ช. คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ โดยตำแหน่ง ขณะที่การอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ของฝ่ายค้าน ภายใต้ยุทธการ “ถอดหน้ากากคนดี” วันที่15-16 กุมภาพันธ์ ก็ใกล้เข้ามาเต็มที
จึงหลีกเลี่ยงไม่พ้น การตกเป็นเป้าหมายโดนถล่มทิ้งทวนทางการเมือง ก่อนนับถอยหลังเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง ถือเป็นช่วงเวลาพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก อย่างแท้จริง
วิเคราะห์โดย : ประจักษ์ มะวงศ์สา