วันนี้ (13 ก.พ.2565) กรมควบคุม กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์โรคไข้เลือดออก ในปี 2566 (1 ม.ค.- 1 ก.พ.) พบผู้ป่วย 2,683 คน อัตราป่วย 4.05 ประชากรแสนคน เสียชีวิต 1 คน กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด 3 อันดับ คือ 5-14 ปี คิดเป็น 11.63% อายุ 15-24 ปี คิดเป็น 7.32% อายุ 0-4 ปี คิดเป็น 5.23%
พื้นที่ที่พบอัตราป่วยสูงสุด คือ ภาคกลาง 996 คน คิดเป็น 5.87% กรุงเทพมหานคร 649 คน คิดเป็น 11.68% ภาคใต้ 625 คน คิดเป็น 6.59% ภาคเหนือ 296 คน คิดเป็น 2.40% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 117 ราย คิดเป็น 0.54%
ผู้ป่วยไข้เลือดออกในช่วงนี้ มากกว่าปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกันถึง 5 เท่า คาดว่ามีแนวโน้มพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้น เนื่องจากโรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่ไวต่อสภาพอากาศจากอุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน
โดยสัดส่วนผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกจำแนกตามกลุ่มอาการ แบ่งเป็นกลุ่มอาการไข้เด็งกี 69.8% ไข้เลือดออก 29.1% และไข้เลือดออกที่ช็อก 1.1%
ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา สัปดาห์นี้พบว่า สภาพอากาศของประเทศไทยมีฝนฟ้าคะนองกระจาย และฝนตกหนักในบางพื้นที่ ทำให้ภาชนะต่างๆ หรือเศษขยะ มีนำฝนท่วมขังอยู่ เช่น ฝาขวด แก้วพลาสติก ถุงพลาสติก เศษกระถาง ซึ่งน้ำที่ท่วมขังเป็นน้ำนิ่งและค่อนข้างสะอาดที่ยุงลายชอบวางไข่
โดยไข่ของยุงลาย จะยึดติดแน่นกับขอบผิวภาชนะเหนือระดับน้ำเล็กน้อย สามารถอยู่ได้นานเป็นปี เมื่อมีน้ำท่วมถึงสามารถฟักตัวเป็นระยะตัวเต็มวัยในระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ และเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น จะทำให้ยุงลายตัวเต็มวัยออกหากินในช่วงกลางคืนมากขึ้น

ห้ามซื้อยาลดไข้กินเอง
กรมควบคุมโรค ระบุว่า ประชาชนควรสังเกตอาการของตนเองและคนในครอบครัว โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใหญ่และผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวเรื้อรังหากมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ไข้นานเกินกว่า 2 วัน อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย เบื่ออาหาร หน้าตาแดง อาจมีผื่นขึ้นที่ผิวหนังตามแขน ขาข้อพับ ให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
เน้นย้ำว่าไม่ซื้อยากินเอง เนื่องจากยาลดไข้บางประเภทอาจทำให้มีอาการรุนแรงและเลือดออกมากขึ้น รักษายากขึ้นจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ สำหรับร้านขายยาและคลินิก ควรแนะนำให้ผู้ป่วยสงสัยโรคไข้เลือดออก ให้ไปรักษาที่โรงพยาบาล
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิด 3 กลไก แปลงร่างจาก ”ยุง” เป็น ”ซูเปอร์ยุง”