10 ปี 911 วินาศกรรมเปลี่ยนโลก

นอกจากชีวิตของผู้คนเกือบ 3,000 คนที่ต้องเสียไปจากเหตุวินาศกรรม 11 กันยายนแล้ว ผลที่ตามมาจากสิ่งที่เรียกว่าสงครามต่อต้านการก่อการร้ายทำให้ต้องสูญเสียทั้งชีวิต และทรัพย์สินของผู้คนอีกนับไม่ถ้วน ความสำเร็จหรือล้มเหลวตลอด10 ปีของการต่อสู้ได้มาท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ รวมถึงคำถามที่ว่าสงครามต่อต้านการก่อร้ายสิ้นสุดหรือยัง

ภาพประวัติศาสตร์ที่โลกไม่มีวันลืมได้เปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองระหว่างประเทศโดยสิ้นเชิง วินาศกรรม 11 กันยายนทำให้เกิดสงครามตามมาอีก 2 แห่งคืออัฟกานิสถาน และอิรักภายใต้สิ่งที่เรียกว่า สงครามต่อต้านการก่อการร้าย แต่ตลอด 10 ปีที่ผ่านมายังมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อการร้ายทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นเหตุวินาศกรรมบนเกาะบาหลีของอินโดนีเซียซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 202 คน

เหตุระเบิดบนรถไฟที่กรุงมาดริดของสเปนที่ให้มีผู้เสียชีวิต 191 คน ระเบิดในกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 52 คน และเหตุกราดยิงในนครมุมไบของอินเดียที่มีผู้เสียชีวิต 164 คน หลังจาก 10 ปีของการไล่ล่าสหรัฐก็สามารถสังหารศัตรูหมายเลข 1 อุซามะ บินลาดิน ได้สำเร็จเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าสงครามต่อต้านการก่อการร้ายของอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุชยังไม่สิ้นสุด

การทำสงครามในอัฟกานิสถานและอิรักทำให้เกิดกระแสต่อต้านสหรัฐ ซึ่งเป็นสิ่งล่อแหลมที่อาจนำไปสู่การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายอับดุลลาอายุ 22 ปีหัวหน้าครอบครัวซึ่งมีสมาชิก 12 คน พ่อ และพี่ชายคนโตของเขาถูกยิงเสียชีวิตขณะกองกำลังนาโต้บุกบ้าน ตัวเขาถูกคลุมหัว ใส่กุญแจมือและถูกนำตัวไปขังเพื่อสอบสวนก่อนที่จะปล่อยตัว อับดุลลาบอกว่าทหารอเมริกันปลอ่ยเขาและบอกว่าพ่อกับพี่ชายของเขาบริสุทธิ์พวกเขาพูดได้อย่างไร ถ้าเขามีอำนาจเขาจะตัดหัวทหารอเมริกันทั้งหมด

ผู้เชี่ยวชาญการเมืองอัฟกานิสถาน กล่าวว่า การเสียชีวิตเช่นนี้ยิ่งทำให้เกิดการต่อต้านซึ่งเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเพราะข้อมูลข่าวกรองที่ไม่แม่นยำซึ่งทำให้คนบริสุทธิ์ต้องถูกฆ่าหรือกักขัง วาฮีด มอจด้า นักวิเคราะห์การเมืองบอกว่า การตรวจค้นบ้านคนอัฟกันตอนกลางคืนเพื่อหาบินลาดินหรือ มุลเลาะห์โอมาเป็นความผิดพลาด เพราะได้ฆ่า และต้องกักขังผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก พวกเขาไปค้นบ้านของคนธรรมดาด้วยข้อมูลข่าวกรองที่ผิด ผลก็คือคนทางใต้และตะวันออกเฉียงใต้ของอัฟกานิสถานคิดว่าไม่ช้าก็เร็วพวกเขาอาจถูกฆ่าหรือขังโดยทหารต่างชาติจึงตัดสินใจหยิบปืนขึ้นต่อสู้

ดร.สตีเฟ่น ฟลิน ประธานศูนย์นโยบายแห่งชาติในกรุงวอชิงตันดีซีวิเคราะห์ว่า นโยบายต่อต้านการก่อการร้ายของรัฐบาลบุชมีขึ้นภายใต้แนวคิดว่ากลุ่มแนวคิดสุดโต่งอิสลามเป็นศูนย์กลางของภัยคุกคามและทางที่จะต่อกรได้มีทางเดียวคือใช้กำลังทหารโดยใช้เวทีในอิรัก และอัฟกานิสถาน และได้มองข้ามการป้องกันภายในไป

ดร.สตีเฟ่น กล่าวว่า สิ่งที่เรากำลังเผชิญในขณะนี้คือการโจมตีเป้าหมายขนาดเล็กที่ต้องใช้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมากกว่าเป็นทหารหรือหน่วยสอดแนมระดับโลก มันกลายเป็นว่าเราต้องการรูปแบบตำรวจชุมชนที่ให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมมากกว่าพึ่งเครื่องมือด้านความมั่นคงระดับชาติ

เหตุวินาศกรรม 11 กันยายนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง การต่อสู้กับการก่อการร้ายยังคงมีอยู่ต่อไป แต่คำถามตอนนี้คือเราได้ใช้บทเรียนในช่วง10 ปีที่ผ่านมาเพื่อทำให้โลกใบนี้มีความสงบและสันติกันหรือยัง