“รัฐบาลเศรษฐา” เปิดผลงาน 3 เดือน “ลดรายจ่าย-เพิ่มรายได้” รอดูดอกผลปีหน้า

การเมือง
18 ธ.ค. 66
19:28
2,358
Logo Thai PBS
“รัฐบาลเศรษฐา” เปิดผลงาน 3 เดือน “ลดรายจ่าย-เพิ่มรายได้” รอดูดอกผลปีหน้า
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
พรุ่งนี้ (19 ธ.ค.2566) นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เข้าร่วมประชุม ครม. นัดก่อนสุดท้ายของปีนี้ และขอลาพักร้อน 5 วัน จะกลับมาทำงานอีกครั้ง วันที่ 25 ธ.ค.

ถ้านับจากวันโปรดเกล้าฯ เป็นนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศไทย นายเศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี ครบ 4 เดือนพอดี

ครม.นัดพรุ่งนี้ มีวาระสำคัญ 3 เรื่อง เรื่องแรก ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ทั่วประเทศเฉลี่ย 2-16 บาท หลังไตรภาคีเคาะกันมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่นายกฯ ไม่พอใจ ให้กลับไปทบทวนใหม่

คราวนี้ใช้สูตรคำนวณตามที่นักวิชาการคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เสนอ และให้ รมว.แรงงาน เสนอเข้าครม.ได้เลย ไม่ต้องไปผ่านไตรภาคี

เรื่องที่สอง เป็นเรื่องค่าไฟฟ้า ที่กำชับไปก่อนหน้านี้ว่า ต้องไม่เกินหน่วยละ 4.10 บาท

เรื่องที่สาม เป็นมาตรการต่าง ๆ 18 มาตรการ ที่เสนอโดยกระทรวงมหาดไทย เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย

หากนึกย้อนกลับไป 4 เดือนนี้ มีแต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า นายกฯ เศรษฐา ทำอะไรบ้าง หลังเป็นนายกฯ ขยับโน่นนี่ก็หมดไปเดือนหนึ่ง รวมเวลาที่ไปเมืองนอกก็ 10 ประเทศ เฉลี่ยประเทศละ 3 วัน ก็หมดไปอีกเดือน

เดินสายต่างจังหวัดอีกหลายจังหวัด รวมถึงประชุม ครม.สัญจร รวมแล้วหมดไปอีกเดือน

เหลือเวลาทำงานในทำเนียบรัฐบาล แบบนิ่งๆ ได้คิดใคร่ครวญ พบปะหารือแก้ปัญหาต่าง ๆ อีกราว 30 วัน รวมแล้วครบ 4 เดือน พอดี

คนหนึ่งที่จับตามอง นายกฯ เศรษฐา นั่นคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ออกมาแถลงวาระครบ 90 วันของรัฐบาลเศรษฐา 1

วิเคราะห์ผลงานรัฐบาล ด้วยคาดหวังว่า ในปี 2567 รัฐบาลแก้เศรษฐกิจ ภัยแล้ง พร้อมทั้งบอกว่า อยากเห็นความเป็นเอกภาพของรัฐบาลผสม พร้อมยืนยันว่า จะยังไม่ได้ให้เกรดรัฐบาล

มาวันนี้ โฆษกรัฐบาลก็ออกมาแถลงผลงานของรัฐบาลเศรษฐาทันทีว่า ทำอะไรไปแล้วบ้าง

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ผู้ที่สรุปผลงานรัฐบาลคือ ส่วนปฏิบัติการและบริหารข้อมูลข่าวสาร สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ มีหัวข้อสำคัญดังนี้

“ลดรายจ่าย”

1.การลดรายจ่ายด้านพลังงาน และการคมนาคม
ปรับลดราคาค่าไฟฟ้าเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย 3 เดือน ปรับลดราคาน้ำมันดีเซลลง 2.50 บาท/ลิตร ลดราคาน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ 91 และ 95 ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินลง 1 บาทต่อลิตร ตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม LPG ขนาด 15 กิโลกรัม ไว้ที่ 423 บาทต่อถัง ลดราคารถไฟฟ้าสีม่วงและสีแดง 20 บาท ตลอดสาย

2.ครม. เห็นชอบจ่ายเงินช่วยค่าเก็บเกี่ยว ไร่ละ 1,000 บาท 4.68 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ
3.ช่วยชาวไร่อ้อย ตัดอ้อยสด ลด PM 2.5 120 บาท/ตัน
4.รัฐบาลประกาศเดินหน้า “การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ” เป็นวาระแห่งชาติ
5.พักหนี้เกษตรกรที่มีหนี้ไม่เกิน 3 แสนบาท
6.บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ นำร่อง 4 จังหวัด (แพร่ เพชรบุรี ร้อยเอ็ด และนราธิวาส)

“เพิ่มรายได้”

1.กระตุ้นการท่องเที่ยว วีซ่าฟรีนักท่องเที่ยวจีน/คาซัคสถาน/อินเดีย/ไต้หวัน (ไม่เกิน 30 วัน) รัสเซีย (ไม่เกิน 90 วัน)
2.ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ป.ตรี 18,150 บาท โดยจะปรับขึ้นในอัตรา 10% เป็นระยะเวลา 2 ปี ในปีงบประมาณ 2567 - 2568 การปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุ ทยอยปรับอัตราเงินเดือนแรกบรรจุตามคุณวุฒิเพิ่มขึ้น (ทุกคุณวุฒิ) ในอัตราร้อยละ 10 ภายใน 2 ปี

3.ผลักดันกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท โครงการดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet) โดยรัฐบาลจะมอบสิทธิการใช้จ่ายเงินจำนวน 10,000 บาท ให้กับประชาชนที่เข้าเงื่อนไข ซึ่งนโยบายดังกล่าวจะส่งผลดีต่อประเทศใน 2 ด้าน คือช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศในระยะสั้นผ่านการบริโภคและการลงทุน และการวางโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อนำไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และ E-Government ซึ่งเป็นการวางและแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ ในระยะยาว
4.ขยาย OTOP สู่แพลตฟอร์มออนไลน์ สืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มให้สินค้า OTOP

5.One Belt One Road เส้นทางสายไหม
6.ขยายเวลาปิดสถานบริการ นำร่อง 4 จังหวัด กรุงเทพ ภูเก็ต เชียงใหม่ ชลบุรี เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
7.ขยายเวลาการเปิดให้บริการท่าอากาศยานเชียงใหม่ 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว และเที่ยวบินที่จะเดินทางมายังจังหวัดเชียงใหม่ จากเดิมเปิดดำเนินการทำการบิน 18 ชม. หรือตั้งแต่เวลา 06.00 - 24.00 น. และ
8.ส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง

สิ่งที่นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลได้ทุ่มเททำลงไป จะเริ่มผลิดอกออกผลให้เห็นตั้งแต่กลางปี 2567 เป็นต้นไป โดยภาพเศรษฐกิจที่เห็นอยู่ในขณะนี้ เป็นผลพวงของสิ่งที่ได้ถูกกระทำไปเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา

โฆษกบอกไว้ชัดเจนว่า สิ่งที่เห็นตอนนี้ คือเพิ่งลงมือทำ และจะได้ผลคือกลางปีหน้า นั่นหมายความ รัฐบาลเกือบครบ 1 ปี

ก็คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ฝีมือ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง