ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

หนี้นอกระบบพุ่ง สภาพัฒน์ฯ เผยแบงก์เข้มปล่อยกู้

เศรษฐกิจ
25 พ.ย. 67
15:50
449
Logo Thai PBS
หนี้นอกระบบพุ่ง สภาพัฒน์ฯ เผยแบงก์เข้มปล่อยกู้
อ่านให้ฟัง
00:00อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
สภาพัฒน์ฯ เผย หนี้ครัวเรือนไทยไตรมาสสอง ปี 2567 ลดเหลือ 89.6% ต่ำกว่า 90% ครั้งแรกรอบ 3 ปีครึ่ง จับตาแบงก์เข้มปล่อยกู้ ทำคนไทยแห่พึ่งหนี้นอกระบบ

วันนี้ (25 พฤศจิกายน 2567) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)หรือสภาพัฒน์ฯ เปิดเผยถึง ข้อมูลหนี้สินครัวเรือนล่าสุดในช่วงไตรมาสสอง ปี 2567 ขยายตัวชะลอลง มีมูลค่ารวม 16.32 ล้านล้านบาท ขยายตัว 1.3% จาก 2.3% ของไตรมาสที่ผ่านมา ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีปรับลดลงจาก 90.7% ของไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 89.6% ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่หนี้ครัวเรือนลดลงและตัวเลขจีดีพีเพิ่มขึ้น

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)  หรือ สภาพัฒน์

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์

นอกจากนี้ การตรวจสอบข้อมูลหนี้สินครัวเรือนไทยต่อจีดีพีย้อนหลัง พบว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีไทยในไตรมาสที่ 2 ปี 2567 ซึ่งลดลงเหลือ 89.6% เป็นการปรับลดลงต่ำกว่าสัดส่วน 90% ต่อจีดีพีเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ไตรมาส หรือประมาณ 3 ปีครึ่ง ตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2563 ซึ่งขณะนั้น สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอยู่ที่ 91.2%

นายดนุชา กล่าวอีกว่า แม้หนี้สินครัวเรือนจะลดต่ำสุด นับแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ยังเป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชีย ส่วนหนึ่งมาจากระดับภาระหนี้ที่สูงประกอบกับคุณภาพสินเชื่อที่ปรับลดลงต่อเนื่อง ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น สะท้อนจากเงินให้กู้แก่ภาคครัวเรือนของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 3 หรือ 38.5% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมดที่หดตัวเป็นครั้งแรกที่ 1.2%

ขณะที่เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ก็ขยายตัวดีขึ้น ถ้าสามารถรักษาช่องการขยายตัวให้ชะลอตัวลงเรื่อย ๆ ได้ ก็คงทำให้สถานการณ์หนี้ครัวเรือนปรับตัวดีด้วยเช่นกัน

ต้องติดตามแนวโน้มการก่อหนี้ในกลุ่มสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลยังเพิ่มขึ้น โดยเป็นหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และอัตราการผิดนัดชำระที่สูง ซึ่งหากครัวเรือนไม่ระมัดระวังในการก่อหนี้หรือไม่มีวินัยทางการเงิน จะนำไปสู่การติดกับดักหนี้

เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยจะเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหานี้ผ่านมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) แต่สัดส่วนสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลยังคิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด

และมีสัดส่วนของมูลค่าหนี้เสีย (NPLs) สูงที่สุดเมื่อเทียบกับหนี้ครัวเรือนประเภทอื่นรวมทั้งต้องติดตามความเสี่ยงจากการต้องหันไปพึ่งพาหนี้นอกระบบของครัวเรือน จากสถานการณ์คุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลง

ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเริ่มส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงสินเชื่อของลูกหนี้ โดยเฉพาะลูกหนี้ที่กู้ในระบบเต็มวงเงินทำให้ไม่เหลือทางเลือกจนอาจต้องหันไปพึ่งพาหนี้นอกระบบ

ส่วนความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนยังคงลดลงต่อเนื่อง ข้อมูลเครดิตบูโร หรือบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ รายงานว่า ไตรมาสสอง ปี 2567 พบว่ายอดคงค้างสินเชื่อบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป (NPLs) มีจำนวนบัญชี 9.6 ล้านบัญชี เป็นมูลค่ากว่า 1.16 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 8.48% เพิ่มขึ้นจาก 8.01% ของไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวยังเพิ่มขึ้นในสินเชื่อทุกวัตถุประสงค์

สำหรับหนี้ NPLs ที่เกิดขึ้นของครัวเรือนส่วนใหญ่ กว่า 71% อยู่ที่ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) และเมื่อพิจารณาภาพรวมการขยายตัวของหนี้ NPLs ที่เพิ่มขึ้น 12.2% จะพบว่า มีสาเหตุการขยายตัว (Contribution to growth) มาจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลัก

ข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) ปี 2566 พบว่า ครัวเรือนไทยก่อหนี้นอกระบบคิดเป็นมูลค่า 6.7 หมื่นล้านบาท และส่วนใหญ่กว่า 47.5% เป็นการก่อหนี้เพื่อใช้จ่ายอุปโภคบริโภค

สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการขาดสภาพคล่องของครัวเรือน ซึ่งการก่อหนี้นอกระบบจะทำให้ลูกหนี้มีความเสี่ยงในการตกอยู่ในวังวนหนี้สินไม่รู้จบ ทั้งจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินกฎหมายกำหนดซึ่งบางครั้งสูงถึง 20% ต่อเดือน หรือ 240% ต่อปี หรือการถูกโกงจากสัญญาที่ไม่ชัดเจน หรือการใช้วิธีการทวงหนี้ที่ผิดกฎหมายและรุนแรง เป็นต้น

สำหรับแนวทางการดูแลสถานการณ์หนี้ครัวเรือนให้ปรับตัวดีขึ้นต้องมีมาตรการเข้าไปช่วยเหลือ โดยเฉพาะหนี้สำคัญ ๆ ที่เกี่ยวกับความมั่นคงในชีวิต เช่น หนี้บ้าน หนี้รถยนต์ หรือหนี้ธุรกิจ

ขณะที่แนวทางการลดอัตราเงินนำส่งเงินสมทบกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) นั้น คงต้องรอการแถลงข่าวที่ชัดเจนอีกครั้งว่าจะมีมาตรการหรือรูปแบบอะไรออกมา แต่สศช.มองว่า จะเป็นช่องทางหนึ่งในการช่วยแก้ปัญหาได้ คาดว่าจะออกมาเร็ว ๆ นี้

อ่านข่าว:

 หอการค้าไทย มอบสมุดปกขาว เสนอรัฐ ปลุกเศรษฐกิจไทย โต 3 %

คนไทยตกงาน ไตรมาส 3 เพิ่ม 4.14 แสนคน เด็กจบใหม่หางานยากขึ้น

สนค. ชี้ "อัพไซเคิล" เปลี่ยนขยะเป็นเงิน เทรนด์ธุรกิจใหม่ปี'68

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง