ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

“อลงกรณ์” ชำแหละงบ 69 พบสัญญาณบวก ชี้ "ทรัมป์" ทำลงทุนหด

การเมือง
20 พ.ค. 68
11:21
120
Logo Thai PBS
“อลงกรณ์” ชำแหละงบ 69 พบสัญญาณบวก ชี้ "ทรัมป์" ทำลงทุนหด
อ่านให้ฟัง
08:37อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
“อลงกรณ์” ชำแหละงบ 69 พบสัญญาณบวก แต่หวั่นลงทุนหด เหตุผลนโยบายทรัมป์ 2.0 ส่งผลกระทบรายได้ประเทศ แนะรัฐบาลทำแผนงบสมดุล ต้องเริ่มระบบงบประมาณฐานศูนย์ปี2570

วันนี้ ( 20 พ.ค.2568) นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานสถาบันเอฟเคไอไอ และอดีตกรรมาธิการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีของสภาผู้แทนราษฎรโพสต์เฟซบุ๊ก “วิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 : งบประมาณในภาวะผันผวน“ โดยชี้ว่าเป็นงบประมาณที่มีเปอร์เซ็นของงบประจำลดลงเล็กน้อย 1% ซึ่งอย่างน้อยก็เป็นแนวโน้มที่ดี แต่งบลงทุนลดลงมากกว่าคือ 7.3 % ในขณะที่งบชำระคืนเงินกู้เพิ่มขึ้น0.7% เป็นการชำระดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้น และยังไม่ปรากฏว่า แนวทางว่าจะเริ่มจัดทำงบประมาณสมดุลอย่างไร และเมื่อใด ซึ่งต้องรอฟังคำแถลงนโยบายงบประมาณของนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง

นายอลงกรณ์ ได้วิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 : งบประมาณในภาวะผันผวน“ โดยระบุว่า โครงสร้างของงบประมาณปี 2569 ในด้านงบประจำ งบลงทุน งบชำระหนี้เงินกู้ กับการเตรียมงบประมาณรับมือนโยบาย “ทรัมป์ 2.0”และปัจจัยเสี่ยงโดยมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะประกอบการพิจารณา คือ

หากดูไทม์ไลน์ของกระบวนการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 มีกำหนดที่จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี 20 พ.ค 2568 จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการของสภาผู้แทนราษฎรวาระที่ 1 วันที่ 28–30 พ.ค. 2568 และวาระที่ 2-3 วันที่ 13–15 ส.ค. 68 ตามกำหนดการที่ยืนยันในขณะนี้

โดยประเด็นสำคัญของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ประกอบด้วย

1.โครงสร้างและวงเงินงบประมาณวงเงินรวม 3.78 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 27,900 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น
1.1รายจ่ายประจำ 2.65 ล้านล้านบาท (ลดลง 1%)
1.2รายจ่ายลงทุน 864,077 ล้านบาท (ลดลง 7.3%)
1.3รายจ่ายชำระคืนเงินกู้ 151,200 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 0.7%)
1.4งบขาดดุล 860,000 ล้านบาท

นายอลงกรณ์ ระบุว่า ภายใต้โครงสร้างงบประมาณดังกล่าว มีข้อสังเกตที่ควรไตร่ตรอง ไม่ว่าจะเป็น การลดรายจ่ายลงทุนอาจกระทบโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และพลังงาน ซึ่งเป็นหัวใจหลักของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤต ,การเพิ่มวงเงินชำระหนี้สะท้อนภาระหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นซึ่งต้องจับตาการบริหารจัดการเพื่อไม่ให้กระทบความมั่นคงทางการคลังระยะยาว ,การเตรียมงบประมาณรับมือวิกฤต เศรษฐกิจจากผลกระทบของนโยบาย “ทรัมป์ 2.0”

ทั้งจากกรณีสหรัฐขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากไทย 36% ส่งผลให้ภาคส่งออกและอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบหนัก โดยคาดว่า GDP จะปรับลดเหลือ 2.1% หรือต่ำกว่า 2.0% ทั้งนี้ขึ้นกับผลการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯในเร็วๆนี้ ซึ่งเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะใช้กลไกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณปี2569ของสภาฯ ปรับโอนงบประมาณจากรายการไม่จำเป็นเข้างบกลาง 25,000 ล้านบาท เพื่อรับมือความผันผวนทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตามการไม่ปรับแก้ในชั้น ครม. อาจทำให้ขาดรายละเอียดแผนรองรับที่ชัดเจน เช่น การจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐ และอาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่างบกลางที่เพิ่มขึ้น25,000 ล้านบาทจะเป็นการ "ตีเช็คเปล่า“ไม่มีแผนและรายละเอียดในการตรวจสอบโดยรัฐสภาระหว่างการพิจารณางบประมาณซึ่งรัฐบาลและสำนักงบประมาณควรสร้างความชัดเจนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

นายอลงกรณ์ ยังได้ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 เป็นงบประมาณขาดดุลต่อเนื่อง มุ่งเน้นการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจระยะสั้นผ่านการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐเป็นงบประมาณในภาวะผันผวนซึ่งมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ คือ 

1.งบกลาง การจัดสรรงบกลางเพื่อรับมือวิกฤตยังคลุมเครือสามารถแก้ไขได้โดยเพิ่มความโปร่งใสด้วยการเปิดเผยข้อมูลงบประมาณแบบ Real-time ผ่านแพลตฟอร์ม Open Data

2. งบประจำรายจ่ายงบประจำลดลงแม้เพียง1%ก็ถือเป็นสัญญาณบวกควรดำเนินการต่อในปีงบประมาณถัดไปอย่างต่อเนื่อง

3.งบลงทุนการลดลงของงบลงทุนอาจกระทบการเติบโตระยะยาว

4.งบประมาณที่ไม่คุ้มค่าควรชะลอไว้ก่อนได้แก่โครงการลงทุนที่ไม่เร่งด่วน เช่น โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ยังไม่จำเป็นต้องดำเนินการทันทีหรือไม่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจเพื่อรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวก่อน และโครงการที่ยังไม่มีแผนรองรับการใช้งานอย่างชัดเจน หรือโครงการที่ใช้งบประมาณสูงแต่มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจต่ำ

5.หนี้สาธารณะ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องปี 2564 มีสัดส่วน62.44% ของ GDP และปี 2569 จะเพิ่มใกล้แตะเพดาน 70 % ของ GDP ทั้งนี้หนี้สาธารณะรวมเมื่อถึงปี 2569 คาดว่าจะสูงถึง 13.6 ล้านล้านบาท เป็นภาระหนักของประเทศเสมือนโคลนติดล้อ

6.ความเสี่ยงของประเทศความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกเช่น ภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิอาการเปลี่ยนแปลง และภูมิเศรษฐศาสตร์ เช่นสงครามการค้า ความผันผวนทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนผันแปรเร็วและแรงมากขึ้นอาจทำให้รายได้ประเทศจากภาษีและการพาณิชย์ลดลงและกดดันให้ต้องกู้หนี้สาธารณะเพิ่มจึงควรเตรียมงบประมาณให้พร้อมสำหรับการรับมือและปรับตัว

7.ความยั่งยืนของงบประมาณและการคลัง ซึ่งควรมีแนวทางการจัดทำงบประมาณแบบสมดุลในคำแถลงนโยบายงบประมาณต่อสภาฯ ,ตัดงบประมาณรายจ่ายที่ไม่จำเป็นและไม่คุ้มค่า ,ปรับลดงบประจำและเพิ่มงบลงทุน ,ควรเริ่มเตรียมแผนการการปฏิรูประบบงบประมาณแบบใหม่โดยจัดทำงบประมาณฐานศูนย์(Zero based budgeting)ถ้ามีความพร้อมควรเริ่มในปีงบประมาณ 2570

อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลสามารถบริหารงบประมาณในภาวะผันผวนด้วยความโปร่งใส ใช้เทคโนโลยีและเพิ่มการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณได้อย่างคุ้มค่าภาษีของประชาชนมากขึ้น”อดีตกมธ.พิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯกล่าว

อ่านข่าว:

"อนุทิน" ปัดเกี่ยวปม "ฮั้วเลือก สว.​" เชื่อเป็นเรื่องการเมือง

"อนุดิษฐ์-ธรรมนัส-งูเห่าส้ม" เพื่อไทย "หัก" ภูมิใจไทย ลุยไฟ กาสิโน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง