การเมืองยังไม่ถึงทางตัน แต่ถูกบีบเข้ามุมอับมากขึ้น หลังศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องชดใช้ค่าเสียหายในโครงการจำนำข้าว ในส่วนของการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี เป็นเงินกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท จนทำให้เจ้าตัวออกมาระบายความรู้สึกผ่านโซเชียลว่า จะหาเงินมาจากที่ไหน
เป็นวันเดียวกับที่ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม เดินทางเข้าไปที่ทำเนียบรัฐบาล พบ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แม้ ผู้กองธรรมนัส จะบอกนักข่าวว่า “แวะมากินกาแฟ” แต่กลับมีรายงานว่า ได้เข้าพบ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมด้วย
เป็นการเข้าทำเนียบรัฐบาล ในวันที่ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีพาคณะไปเยือนสหราชอาณาจักร และราชรัฐโมนาโก ระหว่างวันที่ 21– 25 พ.ค. 2568 ว่ากันว่า นอกจากจะไปเปิดช่องทางการค้า และส่งเสริมตลาดสินค้าไทยผ่าน “ซอฟต์เพาเวอร์” แล้ว ยังได้ใช้ช่วงเวลาดังกล่าวหลบมรสุมลูกใหญ่ทางการเมือง

ไม่ว่าจะเป็นพายุคดีฮั้วเลือกตั้งสว.และการแจกเงินหมื่นดิจิทัล หลังครม.มีมติเมื่อวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมาให้เลื่อนการแจกออกไปก่อน โดยจะนำเงินดังกล่าวมาใช้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน คือ กระจาย 4 โครงการ ลงทุนน้ำ-คมนาคม-ท่องเที่ยว-ส่งออก ภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท
คดีฮั้วเลือกตั้งสว.”ฟอกเงิน-อั้งยี่” แม้จะมีความคืบหน้า ดีเอสไอ นัดเรียกสว.สายสีน้ำเงิน มาสอบปากคำอย่างต่อเนื่อง เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีกำกับดูแลดีเอสไอ จาก พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม มาเป็น “นายชูศักดิ์ ศิรินิล” รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีมารับเผือกร้อนในมือต่อ
คาดว่า กว่าคดีนี้จะได้ข้อยุติและสิ้นสุด คงใช้เวลาอีกไม่น้อย และยังไม่ชัดเจนว่า ที่สุดแล้ว ระหว่างอำนาจของกกต.ว่าด้วยกฎหมายสว. และความผิดฟอกเงินจะอยู่ในบัญชีแนบท้ายคดีพิเศษของดีเอสไอ ใครจะเป็นผู้ชี้ขาด กว่าผลการพิจารณาคดีนี้จะแล้วเสร็จ ยังไม่ทราบว่า คดีจะเสนอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 5 คน ที่กำลังจะหมดวาระลง ในอีกไม่นานนี้ พิจารณาทันหรือไม่
คดีฮั้วเลือกตั้งสว.ทำให้ดูเหมือนพรรคเพื่อไทยมีแต้มต่อ หลังจาก “กุสุมาลวตี ศิริโกมุท”และ “ณัฐพร โตประยูร” ต่างผลัดกันเข้ายื่นคำร้องต่อกกต.ขอให้ยุบพรรคภูมิใจไทย โดยอ้างว่าเกี่ยวเนื่อง-เกี่ยวพันกับคดีฮั้วเลือกตั้งสว.”ฟอกเงิน-อั้งยี่” เพื่อให้เกิด “ดีล” รับร่างกฎหมายกาสิโนที่จะถูกบรรจุเข้าวาระในวันที่ 9 มิ.ย.นี้ แลกกับการไม่ “ดีด” ภูมิใจไทยให้พ้นทาง
แต่เส้นทางของพรรคเพื่อไทย ไม่ง่ายเช่นนั้น หากจะชิงปรับครม.ใหม่ หรือยุบสภา ก็อาจจะยังไม่พร้อม ด้วยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้ไต่สวนคดีชั้น 14 ของ “ทักษิณ ชินวัตร” และเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงภายในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ 2568 ดังนั้น การปรับครม.คงทอดเวลาไปอีกช่วงหนึ่ง แม้จะเริ่มเห็นปฎิกิริยาการขยับเขยื้อนของร.อ.ธรรมนัส ที่ทำเนียบแล้ว

แต่ไม่วาย ยังมีประเด็นเดือดที่ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯจะต้องเผชิญอีก หลัง“ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ , สมชาย แสวงการ อดีตสว. ,ทนายนกเขา “นิติธร ล้ำเหลือ” และดร.เจษฎ์ โทณะวณิก อดีตที่ปรึกษากรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้ยื่นคำร้องต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.)และศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อปลายเดือนเม.ย. ขอให้ตรวจสอบการกระทำผิดฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา144 ในการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568
หลังตรวจสอบข้อมูลพบมีการตัดลดงบประมาณจำนวน 35,000 ล้านบาท ที่เดิมจัดสรรไว้สำหรับการชำระหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 5 แห่ง ถูกนำไปใช้ในโครงการแจกเงิน 10,000 บาท โดยสาระสำคัญของกฎหมายมาตราดังกล่าว ระบุชัดว่า

1.ห้ามการแปรญัตติเพิ่ม-ลด งบประมาณ ส.ส.และส.ว. ไม่มีอำนาจในการเสนอหรือแปรญัตติใน ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ที่เสนอโดยฝ่ายบริหาร 2. ห้ามการกระทำที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ห้ามมิให้ สส., สว., หรือกรรมาธิการกระทำการใด ๆ ที่อาจทำให้ตนเองหรือผู้อื่นมีส่วนในการใช้งบประมาณ ซึ่งรวมถึงการแปรญัตติที่อาจนำไปสู่ผลประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง
ตามบทบัญญัติของกฎหมายฉบับนี้ระบุชัดเจนว่า ต้องการป้องกันการใช้อำนาจโดยมิชอบของ ส.ส. และ วุฒิสภา สว.ในกระบวนการพิจารณางบประมาณของรัฐ หากพบว่ามีการฝ่าฝืน มาตรา144 จริงและหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การกระทำนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ สมาชิกผู้นั้นจะสิ้นสุดสมาชิกภาพทันที โดยอาจถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และต้องชดใช้เงินคืนแก่รัฐ พร้อมดอกเบี้ยภายใน 20 ปี
โดยความผิดนี้จะครอบคลุมยกชุด ไล่ตั้งแต่รัฐบาลเพื่อไทย ยุค “เศรษฐา ทวีสิน” นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และต่อเนื่องถึงรัฐบาลของ “น.ส.แพทองธาร” อาจทำให้สส. สว.และครม.ทุกคนคงนั่งไม่ติดเก้าอี้ เพราะถ้านับจากวันเข้ายื่นคำร้องช่วงปลายเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ภายในกรอบเวลา 60 วัน และหากป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่าคำร้องมีมูล
และส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตามปกติจะใช้เวลาไม่เกิน 15 วัน เมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการ นั่นหมายถึงการนับถอยหลังครม.ชุดนี้ทันที เพราะถือเป็นจุดชี้ตายของนายกฯ ซึ่งจะทำให้การเมืองก็จะกลับเข้าสู่ทางตันอีกครั้ง จึงไม่แปลกที่เงินหมื่นเฟสสาม ต้องเลื่อนยาวออกไปโดยไม่มีกำหนด
เพราะเมื่อเซต Zero ฟากฝั่งพรรคภูมิใจไทย ก็จะไม่เหลือใครอีกเช่นกัน แม้ในยามนี้ ยังพอมีแต้มต่ออยู่บ้างก็ตาม...ดังนั้นทางรอดที่เหลือ ไม่ว่าจะเล่นบทตบ-จูบอย่างไร ก็คงต้องหวานอม ขมกลืนกันไปก่อน
อ่านข่าว
เปิดหน้าวอร์ "เจ้รวย-สุขสำรวย" กระชับฐาน ภท. "อำนาจเจริญ"
"ใจสั่งมา ไม่มีใครสั่งได้" เปิดใจ "เจ้แมว-กุสุมาลวตี" อดีตสส. 3 สมัย
แท็กที่เกี่ยวข้อง: