ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

"หอยนางรม" เครื่องกรองน้ำแห่งท้องทะเล ฟื้นฟูระบบนิเวศโลก

สิ่งแวดล้อม
14:31
189
"หอยนางรม" เครื่องกรองน้ำแห่งท้องทะเล ฟื้นฟูระบบนิเวศโลก
อ่านให้ฟัง
11:07อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
"หอยนางรม" เมนูอร่อยที่หลายคนคุ้นเคย แท้จริงคือ "เครื่องกรองน้ำธรรมชาติ" ที่สำคัญยิ่งต่อระบบนิเวศ ทำหน้าที่บำบัดน้ำเสีย สร้างที่อยู่อาศัย และปกป้องชายฝั่ง ทำให้ท้องทะเลยังคงอุดมสมบูรณ์และยั่งยืน แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากมลพิษและประชากรลดลงจากการจับกิน

เรียกได้ว่า "หอยนางรม" เป็นสัตว์ทะเลที่มีบทบาทสำคัญมากในการปกป้องสิ่งแวดล้อม เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก อยากชวนทุกคนมาดูความสามารถและประโยชน์มากมายของเจ้าหอยนางรม สัตว์น้ำตัวจิ๋วริมชายฝั่งที่ผลงานของมันไม่จิ๋วเลยสักนิด

เมื่อกล่าวถึง "หอยนางรม" หลายคนคงนึกถึงเมนูอาหารทะเลสดใหม่รสชาติเยี่ยม แต่รู้หรือไม่ว่าเบื้องหลังความอร่อยนั้น หอยนางรมมีคุณประโยชน์มหาศาลต่อสิ่งแวดล้อม จนได้รับการขนานนามว่าเป็น "เครื่องกรองน้ำธรรมชาติ"

หอยนางรมเป็นสัตว์ประเภทกินแพลงก์ตอนแบบกรองน้ำ (Filter feeders) พวกมันจะดูดน้ำและอนุภาคเล็ก ๆ ที่แขวนลอยอยู่ในน้ำเข้าสู่ตัว ความสามารถในการกรองน้ำของหอยนางรมนั้นน่าทึ่งมาก เพราะหอยนางรม 1 ตัวสามารถกรองน้ำได้ถึง 30-50 แกลลอน/วัน (ประมาณ 113-189 ลิตร) หรือบางแหล่งระบุว่าสูงถึง 120-160 ลิตร/วันเลยทีเดียว การกรองนี้ช่วยกำจัดสารแขวนลอยต่าง ๆ รวมถึงคลอโรฟิลล์ได้มากถึงร้อยละ 28-92

ที่สำคัญคือ หอยนางรมสามารถกรอง สาหร่ายพิษขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของปรากฏการณ์ ขี้ปลาวาฬ (Red tide) ปรากฏการณ์นี้ทำให้สาหร่ายพิษเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมหาศาล ส่งผลให้ปลาและสัตว์ทะเลอื่น ๆ ตายได้ แต่หอยนางรมสามารถกรองสาหร่ายพิษเหล่านี้ออกไปได้หมดภายในเวลาอันรวดเร็ว

มีการทดลองในฮ่องกงที่พบว่าหอยนางรมสามารถทำให้น้ำเสียสะอาดขึ้นได้ในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง 30 นาที การกรองนี้จึงช่วยให้น้ำทะเลใสสะอาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และยังช่วยควบคุมระดับของสาหร่าย พร้อมทั้งดึงดูดสัตว์ทะเลอื่น ๆ ให้กลับเข้ามาสู่พื้นที่อีกด้วย นอกจากนี้ พวกมันยังดึงสารที่หากมีมากเกินไปจะกลายเป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และคาร์บอนไดออกไซด์ ออกจากน้ำอีกด้วย

"หอยนางรม" บำบัดสารอาหาร-รักษาสมดุลทางชีวภาพ

นอกจากการกรองน้ำให้ใสแล้ว หอยนางรมยังเป็นส่วนสำคัญในการบำบัดสารอาหารในระบบนิเวศทางทะเล หอยสองฝาที่เพาะเลี้ยงสามารถกำจัดไนโตรเจนได้ถึง 49,000 ตัน และ ฟอสฟอรัส 6,000 ตัน/ปี ทั่วโลก สารอาหารเหล่านี้จะถูกหอยนำไปใช้ในการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อและเปลือก และจะถูกนำออกจากระบบนิเวศเมื่อมีการเก็บเกี่ยวหอยไปบริโภค มูลค่าของการบำบัดสารอาหารนี้ประเมินไว้สูงถึง 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี

ปัจจุบัน การกำจัดสารอาหารโดยการเก็บเกี่ยวหอยสองฝาได้ถูกนำมาใช้เป็นทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อลดภาระการบำบัดน้ำเสียจากโรงบำบัดน้ำเสีย นอกจากนี้ หอยสองฝายังสามารถใช้ในระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบผสมผสานหลายระดับโภชนาการ เพื่อช่วยลดการรั่วไหลของสารอาหารจากระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแบบอื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาน้ำเสียได้

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

"วิศวกรระบบนิเวศ" สร้างบ้าน-ปกป้องชายฝั่ง

หอยนางรมไม่เพียงแต่กรองน้ำ แต่ยังทำหน้าที่เป็น "วิศวกรระบบนิเวศ" ที่สำคัญต่อโครงสร้างและสุขภาพของระบบนิเวศชายฝั่ง เมื่อหอยนางรมสะสมตัวรวมกัน เปลือกของพวกมันจะสร้างพื้นผิวที่ขรุขระ ก่อตัวเป็นแนวปะการังหอยนางรม แนวปะการังเหล่านี้เป็นเสมือนบ้านหลังแรก และ แหล่งอนุบาลที่สำคัญสำหรับสัตว์ทะเลหลากหลายชนิด เช่น ปลาเล็กปลาน้อยและปู แนวปะการังหอยนางรมที่ได้รับการฟื้นฟูมักจะมีความสูงและซับซ้อนกว่าแนวปะการังที่ถูกเก็บเกี่ยว ทำให้มีชนิดของสิ่งมีชีวิตที่เข้ามาอาศัยอยู่และมีความหลากหลายทางชีวภาพเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ แนวปะการังหอยนางรมยังทำหน้าที่เป็น "กำแพงธรรมชาติ" ป้องกันพื้นที่ชายฝั่ง ช่วยลดความรุนแรงของคลื่นและพลังงานของพายุที่พัดเข้าสู่ฝั่ง การมีแนวปะการังหอยนางรมที่แข็งแรงจึงช่วยลดความเสียหายต่อชายฝั่งจากพายุได้เป็นอย่างดี มีการประเมินว่าการฟื้นฟูแนวปะการังหอยนางรมสามารถเป็นกลยุทธ์ที่ยั่งยืนในการปกป้องชายฝั่ง

และที่น่าสนใจคือ เปลือกหอยนางรมที่ถูกทิ้งยังเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนในระยะยาว การศึกษาบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าแนวปะการังหอยนางรมมีความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนในอัตราที่สูงกว่าป่าชายเลนหรือหญ้าทะเลเสียอีก แม้ผลสุทธิในระยะยาวยังต้องศึกษาเพิ่มเติม แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีถึงศักยภาพในการเป็นคาร์บอนสีน้ำเงิน (Blue carbon) ของหอยนางรม

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

พลิกโฉม "ขยะเปลือกหอย" สู่ "ขุมทรัพย์แห่งประโยชน์"

ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการบริโภคหอยนางรมที่เพิ่มขึ้นคือ เปลือกหอย ในอดีตการกำจัดเปลือกหอยมักใช้วิธีการเผา ซึ่งก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีการตระหนักถึงศักยภาพของเปลือกหอยเหล่านี้ในการนำไปใช้ประโยชน์เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมมหาศาล เปลือกหอยนางรมสามารถนำไปใช้ได้หลายรูปแบบ เช่น

วัสดุก่อสร้าง เปลือกหอยบดสามารถนำไปใช้เป็นส่วนผสมในคอนกรีตทดแทนมวลรวมทั่วไปได้ มูลค่าของเปลือกหอยที่ใช้เป็นวัสดุก่อสร้างนี้มีราคาสูงถึง 240-2,400 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ทั่วโลกมีศักยภาพในการสร้างมูลค่าจากเปลือกหอยนางรมที่นำไปใช้เป็นมวลรวมได้ถึง 5,270 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี

อาหารสัตว์ปีก เปลือกหอยนางรมและเปลือกหอยแครงที่นำมาบดเป็นชิ้นเล็ก ๆ สามารถนำไปผสมในอาหารสัตว์ปีกได้ มันช่วยในการย่อยอาหารของสัตว์ปีกและเป็นแหล่งแคลเซียมสำคัญสำหรับการสร้างเปลือกไข่ มูลค่าของเปลือกหอยนางรมที่ขายเป็นอาหารสัตว์ปีกอยู่ระหว่าง 320-2,400 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน

ปุ๋ยและปรับปรุงดิน ของเสียจากหอยนางรมอุดมไปด้วยสารอาหารหลักที่พืชต้องการ เช่น ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม รวมถึงแมกนีเซียมและซัลเฟอร์ อัตราส่วนของไนโตรเจน ฟอสเฟต และโพแทชในปุ๋ยหมักที่ทำจากหอยนางรมใกล้เคียงกับความต้องการสารอาหารของพืชหลายชนิด นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงสภาพดินเปรี้ยวในภาคเกษตรกรรมได้อีกด้วย

ความท้าทายของฮีโร่ตัวจิ๋ว

แม้จะมีประโยชน์มากมาย แต่ประชากรหอยนางรมในธรรมชาติกำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญ นั่นคือการบริโภคที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้เกิดการจับหอยนางรมมากเกินไป (Overfishing) นอกจากนี้ ถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของพวกมันยังถูกทำลายจากการปล่อยน้ำเสียลงสู่แหล่งน้ำ ทำให้เกิดโรคในหอย และปัญหาแนวปะการังธรรมชาติที่ถูกทำลายลง จนหอยนางรมไม่มีที่ยึดเกาะ ส่งผลให้การอยู่รอดของตัวอ่อนและหอยโตเต็มวัยเป็นไปได้ยากขึ้น

สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือ ในฐานะที่เป็นสัตว์กรองน้ำ หอยนางรมสามารถสะสมสารก่อโรค เช่น แบคทีเรีย ไวรัส และโปรโตซัวในเนื้อเยื่อของพวกมันได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีคุณภาพน้ำต่ำ นอกจากนี้ หากหอยนางรมอยู่ในพื้นที่ใกล้แหล่งอุตสาหกรรมหรือเกษตรกรรมที่ใช้สารเคมี ก็อาจมีการสะสมสารเคมีอันตราย เช่น สารตกค้างกลุ่ม PCBs, Organophosphates หรือโลหะหนักได้ในระยะยาว ยังมีรายงานการพบสารชีวภาพเป็นพิษ (biotoxin) เช่น กรดโอคาดาอิกและไดโนไฟซิสทอกซิน

ซึ่งผลิตจากสาหร่ายพิษที่หอยกินเข้าไปและสะสมในตัว ซึ่งสารเหล่านี้มักไม่ถูกทำลายด้วยความร้อนและอาจส่งผลต่อระบบประสาทได้ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยในการบริโภค ควรนำหอยนางรมมาปรุงสุกก่อนเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงจากเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค เช่น เชื้อวิบริโอ ซาลโมเนลลา และแคมไพโลแบคเทอร์ ที่ทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษได้หากบริโภคดิบ

นอกจากนี้ การประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจของบริการทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับหอยนางรม เช่น การท่องเที่ยวเชิงเทศกาลอาหารทะเล หรือคุณค่าทางสุนทรียะ ยังมีหลักฐานน้อยและยากต่อการวัดมูลค่าที่แท้จริง ซึ่งอาจทำให้มูลค่ารวมของระบบนิเวศที่หอยนางรมมอบให้นั้นถูกประเมินต่ำกว่าความเป็นจริง

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ฟื้นฟู-คืนชีวิตให้ท้องทะเล

จากปัญหาการลดลงของประชากรหอยนางรมและผลกระทบต่อระบบนิเวศ โครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลหลายแห่งจึงเกิดขึ้นเพื่อฟื้นฟูหอยนางรมและระบบนิเวศ หนึ่งในโครงการที่โดดเด่นคือ "The New York Harbor Foundation" และ "Billion Oyster Project" ในนครนิวยอร์ก สหรัฐฯ

โครงการเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การรีไซเคิลเปลือกหอยนางรมจากร้านอาหารต่าง ๆ เปลือกหอยที่รวบรวมมาได้จะถูกนำไปตากแดดเป็นเวลาประมาณ 1 ปีเพื่อทำความสะอาด. จากนั้นจึงนำเปลือกเหล่านี้ไปใช้เป็นบ้านหลังแรกให้กับตัวอ่อนหอยนางรมในสถานอนุบาล ตัวอ่อนหอยนางรมจะถูกเลี้ยงดูประมาณ 2-3 สัปดาห์ก่อนที่จะถูกนำกลับไปปล่อยลงทะเลเพื่อสร้างแนวปะการังธรรมชาติ เปลือกหอยนางรมเก่าเพียงหนึ่งเปลือกสามารถเป็นบ้านให้ลูกหอยได้มากถึง 20 ตัวเลยทีเดียว 

โครงการเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามและความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและประชาชนในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล โดยตระหนักถึงคุณค่าของหอยนางรมที่เป็นมากกว่าอาหาร แต่คือหัวใจสำคัญของการรักษาสมดุลของท้องทะเล

ที่มา : Reviews in Aquaculture (2020), wildhope.tv, NOAA Fisheries, Restore America's Estuaries

อ่านข่าวอื่น :

"ประเสริฐ" ย้ำนั่ง มท.1 แค่ข่าวลือ นายกฯ ยังไม่ส่งสัญญาณปรับ ครม.

"ปะการังสีน้ำเงิน" เสียหายหนัก เหตุเรือส่งสินค้าเกยตื้นเกาะสุรินทร์