ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

นิยาม "กบฏ" ฉบับทรัมป์ จากพอร์ตแลนด์สู่ลอสแอนเจลิส

ต่างประเทศ
14:00
324
นิยาม "กบฏ" ฉบับทรัมป์ จากพอร์ตแลนด์สู่ลอสแอนเจลิส
ทรัมป์ขยายความหมาย "กบฏ" กว้างขึ้น ในการประท้วงที่ LA. เกิดคำถามถึงอำนาจการส่งทหารเข้าคุมสถานการณ์ แม้จะเคยกล่าวว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องใช้ กม.ป้องกันการกบฏ แต่ท่าทีของผู้นำสหรัฐฯ เปลี่ยนไป นำไปสู่ความกังวลการให้ทหารบนแผ่นดินสหรัฐฯ ที่ไม่เคยมีมาก่อน

วันนี้ (10 มิ.ย.2568) สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับเมื่อ 5 ปีก่อน ในเดือน ก.ย.2563 อดีต ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ในขณะนั้น เคยแสดงความเห็นว่าเขาถูกจำกัดอำนาจในการจัดการกับการประท้วงเรียกร้องความยุติธรรมทางเชื้อชาติ ซึ่งบางครั้งก็รุนแรงในเมืองต่าง ๆ เช่น พอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน เขาเคยกล่าวไว้ว่า

ดูสิ เรามีกฎหมาย เราต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เราไม่สามารถเรียกกองกำลังพิทักษ์ชาติได้ เว้นแต่จะได้รับการร้องขอจากผู้ว่าการรัฐ

ทรัมป์ในขณะนั้นยังชี้ให้เห็นว่ามีวิธีหนึ่งที่เขาสามารถทำได้ นั่นคือ การอ้างกฎหมายปราบกบฏ Insurrection Act แต่เขาก็เสริมว่า ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะต้องทำเช่นนั้น แม้แต่ในกรณีของพอร์ตแลนด์ 

แต่ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้กลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกในรอบประมาณ 60 ปี ที่เรียกกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิโดยไม่ต้องรอการร้องขอจากผู้ว่าการรัฐ เพื่อช่วยระงับการประท้วงในลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นการตอบโต้การบุกค้นของหน่วยตรวจคนเข้าเมืองและบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมือง (Immigration and Customs Enforcement - ICE)

สิ่งที่น่าจับตาคือ ทรัมป์ทำเช่นนั้นโดยที่ไม่ได้อ้างกฎหมายปราบกบฏ ซึ่งเป็นกฎหมายปี 2350 ที่อนุญาตให้ประธานาธิบดีส่งทหารอเมริกันไปควบคุมสถานการณ์บนท้องถนนในสหรัฐฯ ในสถานการณ์ที่รุนแรงถึงขีดสุด

ย้อนเหตุการณ์การประท้วงพอร์ตแลนด์ ปี 2563

เป็นการชุมนุมที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน หลังจากกรณีการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ในเดือนพ.ค.2563 ซึ่งจุดกระแสประท้วง Black Lives Matter ทั่วประเทศ โดยที่พอร์ตแลนด์มีการประท้วงเกือบทุกวันติดต่อกันหลายเดือน เป็นหนึ่งในเมืองที่มีการเคลื่อนไหวรุนแรงและยืดเยื้อที่สุด

การประท้วงในพอร์ตแลนด์เริ่มต้นด้วยสันติ แต่ในเวลาต่อมามีความตึงเครียดและปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจบ่อยครั้ง ผู้ชุมนุมเรียกร้องให้ยุติการใช้ความรุนแรงของตำรวจและการเหยียดเชื้อชาติ ขณะที่รัฐบาลกลางของ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งเจ้าหน้าที่ความมั่นคงกลางเข้าควบคุมสถานการณ์ ยิ่งทำให้ความขัดแย้งลุกลาม มีการใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยาง และการจับกุมผู้ประท้วงกลางดึกโดยไม่มีเครื่องแบบหรือหมายศาล

เหตุการณ์นี้กลายเป็นประเด็นถกเถียงระดับชาติถึงสิทธิพลเมือง อำนาจรัฐกลาง และเสรีภาพในการชุมนุม จนมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักทั้งในประเทศและต่างประเทศเกี่ยวกับการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่รัฐ

สตีฟ วลาเด็ค นักวิเคราะห์กฎหมายของ CNN ชี้ว่า การตัดสินใจที่จำกัดอำนาจนี้ หมายความว่ากองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิมีอำนาจที่จำกัด และไม่รวมถึงการบังคับใช้กฎหมาย แม้จะเป็นการตัดสินใจที่จำกัดเช่นนี้ ผู้เชี่ยวชาญบางคนก็วิจารณ์ว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุและรุนแรงเกินไป และกังวลว่าอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง

จากพอร์ตแลนด์ถึงแอลเอ ทรัมป์ท่าทีเปลี่ยนเรื่องปราบกบฏ

ภาพเหตุการณ์การประท้วงในลอสแอนเจลิสเมื่อวันที่ 6-9 มิ.ย.ที่ผ่านมานั้น แสดงให้เห็นถึงความวุ่นวายอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ที่ถูกเผาไหม้ ควันจากการยิงแก๊สน้ำตา การเผชิญหน้ากันระหว่างผู้ประท้วงกับเจ้าหน้าที่ การปะทะกันของเจ้าหน้าที่กับผู้ประท้วง มีการขว้างปาหินใส่เจ้าหน้าที่ และแม้แต่รถยนต์ไร้คนขับ Waymo ก็ถูกทำลาย

ถึงกระนั้น ทรัมป์ก็ยังคงเปิดโอกาสที่จะยกระดับสถานการณ์ และอาจถึงขั้นทำในสิ่งที่เขาเคยกล่าวไว้เมื่อ 5 ปีก่อนว่า ย้ำอีกครั้งที่บอกว่า "ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะต้องทำ" นั่นคือการเรียกใช้กฎหมายปราบกบฏ เพื่อจัดการกับผู้ประท้วง หน่วยบัญชาการภาคเหนือของสหรัฐฯ (Northern Command) กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 มิ.ย.ว่า นาวิกโยธินสหรัฐฯ 500 นาย ได้รับการสั่งให้ "เตรียมพร้อมประจำการ" และ CNN รายงานเมื่อวันจันทร์ต่อมา (9 มิ.ย.) ว่า พวกเขากำลังถูกระดมพล 

ทรัมป์เองก็ลังเล ว่าสถานการณ์ในลอสแอนเจลิสนั้น เข้าข่ายการก่อกบฏหรือไม่ เขาตอบว่าไม่เข้าข่ายเมื่อถูกถามในวันอาทิตย์ แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็โพสต์บน Truth Social ว่า : "Paid insurrectionists!" หรือ ผู้ก่อกบฏที่ถูกจ้างมา ประธานาธิบดีกลับมาใช้คำนี้อีกครั้งในวันจันทร์ โดยบอกกับนักข่าวเมื่อกลับมาที่ทำเนียบขาวว่า คนที่ก่อปัญหาคือผู้ยุยงมืออาชีพ ก่อนที่จะเรียกพวกเขาว่า "ผู้ก่อกบฏ" 

แต่ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เขาก็ดูเหมือนจะอ่อนลงอีกครั้ง โดยกล่าวว่า "ผมไม่อยากเรียกว่าเป็นการก่อกบฏเสียทีเดียว แต่มันอาจนำไปสู่การก่อกบฏได้" ในทางกลับกัน สตีเฟน มิลเลอร์ ที่ปรึกษาอาวุโสของทำเนียบขาว ยืนกรานมาหลายวันแล้วว่าสถานการณ์ในลอสแอนเจลิสคือ "การก่อกบฏ"

สำหรับ ทรัมป์ มิลเลอร์ พันธมิตรของทรัมป์ คำจำกัดความสำหรับคำว่า "กบฏ" นั้นดูเหมือนจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเมื่อ 5 ปีก่อน หลังจากที่หลายคนเรียกการโจมตีรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 ม.ค.2564 ว่าเป็นการก่อกบฏ ทรัมป์และกลุ่ม MAGA ได้ใช้เวลาหลายปีในการนำคำว่า "กบฏ" มาประยุกต์ใช้อย่างกว้างขวางมากกับสิ่งอื่น ๆ 

แนวคิดนี้ดูเหมือนจะเป็นการใช้กลยุทธ์ "Whatabout" เพื่อบั่นทอนความหมายของ "กบฏ" โดยเสนอว่าเหตุการณ์อื่น ๆ ต่างหากคือ "การก่อกบฏที่แท้จริง" เช่น การประท้วงหลังการเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอยด์ แต่การตีความคำนี้อย่างกว้างขวางของทรัมป์ ได้ก่อให้เกิดเงาอันใหญ่หลวง ขณะที่รัฐบาลกำลังพิจารณาสิ่งที่เขาครุ่นคิดมานาน นั่นคือการส่งกำลังทหารเข้าสู่ดินแดนสหรัฐฯ มันดูเหมือนว่าทรัมป์และคณะมองว่าตัวเองถูกล้อมรอบด้วยการก่อกบฏอยู่ตลอดเวลา

หลากสถานการณ์ ทรัมป์ เรียกว่า "กบฏ" 

  • กลุ่ม Antifa ทรัมป์พูดถึงกลุ่มนี้ว่า พวกเขากำลังก่อกบฏ
  • ข้อกล่าวอ้างที่ไร้มูลของทรัมป์เกี่ยวกับการเลือกตั้งปี 2563 ที่หายไป แต่ทรัมป์พูดคือ การก่อกบฏที่แท้จริงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 พ.ย.
  • ศัตรูที่ไม่ระบุตัวตนภายในสหรัฐฯ ทรัมป์เรียก ผู้ก่อกบฏยังคงลอยนวล
  • การหลั่งไหลของผู้ลี้ภัยที่ชายแดน ทรัมป์บอกเมื่อคุณพูดถึงการก่อกบฏ สิ่งที่พวกเขากำลังทำ นั่นแหละคือเรื่องจริง
  • โจ ไบเดน ประธานาธิบดีในขณะนั้น ทรัมป์โกรธและพูด เขาไม่ใช่ผู้ก่อกบฏ โจ ไบเดน ต่างหาก

ทางด้าน สตีเฟน มิลเลอร์ ที่ปรึกษาอาวุโสของทำเนียบขาว เป็นอีกบุคคลที่พยายามขยายความ ความหายของ "กบฏ" ไปใช้กับสิ่งอื่น ๆ อีกมากมาย มิลเลอร์ มักจะใช้คำนี้บ่อยที่สุดในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชายแดนภายใต้การบริหารของไบเดน มิลเลอร์เคยกล่าวหาว่าผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีทรัมป์เป็นกบฏทางกฎหมายหลายครั้ง เขายังเรียกผู้ประท้วงที่สนับสนุนปาเลสไตน์ว่า "การก่อกบฏที่สนับสนุนกลุ่มฮามาส" เป็นต้น

สิ่งสำคัญที่ควรเน้นย้ำคือ สิ่งที่กล่าวมาข้างบนเหล่านี้ "ไม่เข้าข่ายการก่อกบฏ" เลยแม่แต่น้อย ในขณะที่ทรัมป์และพันธมิตรของเขาปฏิเสธที่จะให้เหตุการณ์ 6 ม.ค.เป็นการก่อกบฏ ทั้ง ๆ ที่ คำว่า "กบฏ" โดยทั่วไปหมายถึงการก่อความไม่สงบ การกบฏที่รุนแรงต่อรัฐบาล การโจมตีรัฐสภาสหรัฐฯ เป็นความพยายามรุนแรงที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของรัฐบาลอย่างมีผลบังคับใช้ การพลิกผลการเลือกตั้ง การโจมตีศูนย์อำนาจที่แท้จริง

กล่าวอีกนัยหนึ่ง การก่อกบฏ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรง แต่ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการกระทำนั้น ๆ

ดังนั้น แค่การประท้วง หรือแม้แต่การใช้ความรุนแรงในการประท้วง ก็ไม่ได้ทำให้สิ่งนั้นกลายเป็น "การก่อกบฏ" ไปได้ เช่นเดียวกับการตัดสินของศาลที่ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ หรือการหลั่งไหลของผู้อพยพที่ไม่มีเอกสาร "ก็ไม่ถือเป็นการกบฏ"

แน่นอนว่า ทรัมป์ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขายินดีที่จะยืดขอบเขตของคำพูดและกฎหมาย เพื่อแสวงหาการขยายอำนาจและไล่ล่าศัตรูที่เขามองเห็น คำถามต่อจากนี้คือ แล้วทำไมทรัมป์จึงยังไม่ได้เรียกใช้กฎหมายกฎหมายปราบกบฏ ทั้ง ๆ ที่ตัวทรัมป์เองและมิลเลอร์ พันธมิตร ได้ใช้คำนี้หลายครั้ง ในการอ้างถึงสถานการณ์ในลอสแอนเจลิส และถึงขั้นสั่งการส่งกองพันนาวิกโยธิน ก็บ่งชี้ว่าเรื่องนี้ยังคงอยู่ในข่ายการพิจารณาในขอบเขตกบฏ

บางที ทำเนียบขาวอาจมีข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้น จากการปรากฏตัวของรัฐบาลกลางที่ โจ่งแจ้ง และข้ามขั้นตอน หรือบางทีการส่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ อาจเป็นก้าวแรกเพื่อให้ "ดูเหมือนจะเป็น" การก่อกบฏ ที่ สตีฟ วลาเด็ค นักวิเคราะห์กฎหมายของ CNN วิเคราะห์ว่า หากการควบคุมสถานการณ์ล้มเหลว รัฐบาลกลางก็สามารถอ้างความล้มเหลวนี้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับการส่งกำลังทหารในประเทศที่รุนแรงขึ้นได้

เวลาเท่านั้นที่จะบอกได้ สหรัฐฯ อาจกำลังดำเนินอยู่ในโลกการเมืองที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเมื่อ 5 ปีก่อน ที่ทรัมป์ดูเหมือนจะพัฒนาความเข้าใจที่กว้างมากขึ้นเกี่ยวกับความหมายของ "การก่อกบฏ" และมีเหตุผลมากมายที่เอื้ออำนวยไปสู่สิ่งที่ทรัมป์เคยกล่าวว่า "ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะต้องทำ" หรือเพราะที่จริงแล้ว ทรัมป์ได้ก้าวไปไกลกว่าที่เคยทำมาแล้วต่างหาก

ที่มา : CNN

อ่านข่าวเพิ่ม : 

"ท่านผู้หญิงพันธุ์สวลี กิติยากร" ถึงแก่อนิจกรรม

ผู้ว่าฯ แคลิฟอร์เนียฟ้องรัฐบาลกลางส่ง "เนชันแนล การ์ด" คุมม็อบ