ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

“วิโรจน์” ชงแก้ระเบียบ ตร. หวังแก้ปัญหาส่วยรถบรรทุก

การเมือง
11:58
92
“วิโรจน์” ชงแก้ระเบียบ ตร. หวังแก้ปัญหาส่วยรถบรรทุก
อ่านให้ฟัง
05:21อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
“วิโรจน์” นำผู้ประกอบการรถบรรทุก-รถเครนยื่นหนังสือ ป.ป.ช.-ผู้ตรวจการแผ่นดิน ชงข้อเสนอแก้ระเบียบ ตร.กรณีใช้ดุลยพินิจกลั่นแกล้งเรียกส่วยรถบรรทุก-รถเครน

วันนี้ (11 มิ.ย.2568) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วยตัวแทนสมาคมขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย และสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ร่วมยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช. ขอให้ใช้อำนาจในการทำข้อเสนอแนะต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ให้พิจารณาจัดทำหรือปรับปรุงคำสั่ง หรือ ออกระเบียบกำกับการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการเรียกตรวจและดำเนินคดีผู้ประกอบการรถบรรทุก เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งเรียกรับผลประโยชน์ ก่อนที่จะเดินทางไปยื่นหนังสือในกรณีเดียวกันต่อสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินในเวลาต่อมา

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน

นายวิโรจน์ ระบุว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการรถบรรทุกและรถเครนที่ประกอบอาชีพโดยสุจริตถูกเจ้าหน้าที่รัฐบางคนใช้กฎหมายกลั่นแกล้ง รถบรรทุกถูกเรียกตรวจโดยที่ลักษณะทางกายภาพไม่ได้มีการบรรทุกเกิน แต่เจ้าหน้าที่พยายามกลั่นแกล้งรังควานให้เสียเวลาเพื่อเรียกรับผลประโยชน์

รวมถึงกรณีที่น้ำหนักเกิน เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือพนักงานสอบสวนควรต้องพิจารณาถึงความพร้อมของหลักฐานพยานต่าง ๆ ยืนยันว่าผู้ต้องหามีเจตนาในการกระทำความผิดจริงแต่ในทางปฏิบัติไม่มี เจ้าหน้าที่กลับทำการริบรถทันที 

ปัจจุบันรถบรรทุกมี GPS ติดตั้งทุกคัน มีการเข้าด่านชั่งตั้งแต่ต้นทางและระหว่างทาง แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไม่พิจารณาถึงส่วนนี้แล้วยังนำตาชั่งลอยมาตั้งระหว่างทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจควรต้องตั้งข้อสงสัยต่อการสอบเทียบวัดเครื่องมือของตัวเองด้วยซ้ำกลับไม่ทำ แล้วยังแจ้งข้อกล่าวหาผู้ประกอบการ สุดท้ายอัยการก็สั่งไม่ฟ้องในหลายกรณี และทุกกรณีที่น้ำหนักเกินโดยไม่มีนัยสำคัญทางธุรกิจ ศาลก็ยกฟ้อง แต่ผู้ประกอบการต้องเสียเวลาหลายเดือน ค่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายงวดรถก็เสีย โอกาสในการทำมาหากินก็เสีย แล้วใครเป็นผู้รับผิดชอบกับการถูกกลั่นแกล้ง

นายวิโรจน์กล่าวเติมว่า ยังมีกรณีการค้าสำนวน คือ กรณีที่เมื่อรถบรรทุกมีการตรวจพบว่าบรรทุกน้ำหนักเกินสัก 100 - 200 กก. ความจริงแล้วเจ้าหน้าที่ควรพิจารณาจาก GPS หรือการเข้าด่านชั่งก่อนหน้า ก็พอจะตีความได้ว่า มีเจตนาหรือไม่ แต่เจ้าหน้าที่กลับใช้การริบรถเอาไว้ก่อน แล้วค่อยมากระซิบบอกว่า ถ้าไม่อยากให้ริบรถก็จ่ายเงินมาราว 70,000 บ.แล้วให้พนักงานขับทำเอกสารสัญญาปลอมขึ้นมาว่าเช่ารถจากผู้ประกอบการมาวิ่งเองเพื่อที่จะได้ไม่ต้องริบรถ

ความจริงเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องพิจารณาพยานหลักฐานว่ามีเจตนาหรือไม่ ถ้ามีการดัดแปลงเกินมาเป็นตันก็ริบรถไปได้เลย แต่กรณีน้ำหนักเกินมา 100 - 200 กก.แล้วด่านก่อนหน้าก็ชั่ง ต้นทางก็ชั่ง GPS ก็มีพิสูจน์ว่า ไม่ได้แวะจอดที่ไหน แล้วจะให้ผู้ประกอบการติด GPS ไปเพื่ออะไร แต่เจ้าหน้าที่กลับไม่พิจารณาเลย แล้วจะริบรถแล้วไถสตางค์ พอจ่ายเงินก็เปลี่ยนสำนวน นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการค้าสำนวน

นายวิโรจน์ ยังกล่าวว่า ในส่วนของรถเครนยิ่งน่าเห็นใจ รถเครนที่ใช้ในประเทศไทยปัจจุบันไม่ได้ผลิตในประเทศไทยแต่นำเข้าจากผู้ผลิตที่ได้มาตรฐานทางวิศวกรรม นำเข้าถูกต้อง ใช้งานถูกต้อง หน่วยงานราชการก็นำเข้า แต่ปรากฏว่า ถูกจัดหมวดหมู่เอาไว้เป็นรถบรรทุกทำให้ผิดกฎหมายทันที เมื่อผู้ประกอบการใช้รถเครนก็ถูกเรียกจับเรียกรับผลประโยชน์ ทั้งที่วัตถุประสงค์การใช้งานไม่ใช่แบบเดียวกับรถบรรทุก 

อีกทั้งเมื่อใดที่ประเทศเกิดภัยพิบัติแล้วมีการประสานงานไปยังผู้ประกอบการรถเครนให้นำรถเครนมาช่วย ก็ได้รับการยกเว้นการบังคับใช้กฎหมาย นั่นแสดงว่า กฎหมายที่เป็นอยู่ไม่ทันสมัยแล้วและเป็นเครื่องมือที่ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐบางนายใช้ในการเรียกรับผลประโยชน์

วันนี้ตนจึงมาเสนอแนะต่อ ป.ป.ช.ให้ทำข้อเสนอแนะไปยัง ก.คมนาคม และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติในการออกระเบียบคำสั่งการใช้ดุลยพินิจ เพื่อแก้ปัญหาส่วยที่เกิดจากกฎหมายที่ไม่ทันสมัย และการที่เจ้าหน้าที่ใช้กฎหมายเช่นนี้ในการรีดไถประชาชนจะได้หมดไปเสียที

อ่านข่าว : รวบหัวหน้าด่านชั่งน้ำหนักวังน้อย เก็บส่วยรถบรรทุก พบโยงบัญชีม้า 

"Spot Check" ช่องโหว่ส่วยทางหลวง  

ล้างวงจรอุบาทว์ส่วย "สติกเกอร์" โจทย์หิน ! จนท.รัฐเอี่ยวนายทุน