ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ถูกหลายภาคส่วนมองว่า รัฐบาลไทยเดินหมากช้า ไม่ทันความเก๋าเกมของอดีตผู้นำกัมพูชา อย่าง ฮุน เซน ที่เดินหน้าปลุกกระแสชาตินิยม
โดยจะลากข้อพิพาทพื้นที่สามเหลี่ยมมรกตและปราสาท 3 หลังไปขึ้นศาลโลก เพื่อจุดพลุฟ้องร้องชาวโลกว่าถูกไทยรังแก จนคนไทยจำนวนมาก เกิดคำถามเหตุใดปล่อยให้กัมพูชาที่เล็กกว่าไทย ข่มขู่รุกไล่อยู่ได้ทุกวัน
และไม่เคยเห็นคนใหญ่ มากบารมีที่เคยแสดงท่าทีความสัมพันธ์แนบแน่น เคลื่อนไหวช่วยเหลือเพื่อคลี่คลายอะไรในสถานการณ์แบบนี้
ขณะที่ความขัดแย้งของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ในรัฐบาล สำหรับเกมยื้ออำนาจ ยังคงสาละวนอยู่เรื่องปรับ ครม. และทวงคืนเก้าอี้มหาดไทย ตามคำพูดของคนที่ไม่มีตำแหน่งในรัฐบาลหรือพรรคเพื่อไทยเลย โดยอ้างว่าขับเคลื่อนงานยังไม่ดีพอ จึงขอกลับมาทำเอง
ท่ามกลางคำถามย้อนกลับว่า กระทรวงใดที่พรรคเพื่อไทยดูแลบริหารอยู่ สร้างผลงานเป็นที่ยอมรับของผู้คนบ้าง ทั้งคมนาคม กระทรวงดีอีเอส หรือพาณิชย์ ที่ยังแก้ปัญหาราคาพืชผลการเกษตรและข้าวที่ตกต่ำ แต่ค่าครองชีพสูง หรือแม้แต่กระทรวงสาธารณสุข ที่คนระดับรัฐมนตรี กล้ายอมเป็น “กามิกาเซ่” วีโต้มติของแพทยสภา ที่ยึดจรรยาบรรณวิชาชีพแพทย์ กระทั่งถูกวิพากษ์ว่า เพียงหวังเอาใจใครบางคน หรือหวังได้นั่งรัฐมนตรีมหาดไทยบ้าง หรือไม่
จึงก่อให้ประชาชนเกิดความเบื่อหน่าย ไม่มั่นใจในการทำหน้าที่ของรัฐบาล สะท้อนชัดเจนได้จากผลโพลหลายสำนัก ที่อยากเห็นแก้ปัญหาความเดือดร้อน ค่าครองชีพ รายได้ ราคาพืชผลการเกษตร โดยเร็ว ทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลปรับ ครม. เพื่อตอบโจทย์ประชาชน ไม่ใช่เพื่อกระชับอำนาจ
ขณะที่พรรคอันดับ 2 ค่ายสีน้ำเงิน ยังต้องเจอกับชนักติดหลัง เรื่องคดีฮั้วเลือก สว. กลับได้เห็นความพยายามโยนว่า เป็นเรื่องการเมือง ทั้งที่เป็นเรื่องกระบวนการ และขั้นตอนการตรวจสอบความจริงจากกรณีมีการกล่าวหา และเป็นปมค้างคาใจผู้คนมาแต่แรก เพราะเมื่อมีผู้ร้อง ก็ต้องมีผู้ดำเนินการ หากไม่มีพยานหลักฐานชัดเจนในมือ กกต.โดยคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน คณะที่ 26 จะกล้าออกหมายเรียกถึง 7 ล็อต รวมกว่า 160 คนได้อย่างไร และหากไม่จริง สามารถต่อสู้หักล้างในชั้นพิสูจน์ความจริงได้
ยังไม่นับปัญหาภายในพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เป็นพรรคอกแตก มีสส.2 ฝ่ายแยกเสียงคนละครึ่ง แล้วจะให้ผู้คนเชื่อมั่นได้อย่างไร ในเมื่อขนาด สส.และรัฐมนตรีพรรคเดียวกัน ยังแตกคอถึงขั้นอยู่คนละข้าง
สถานการณ์ที่อึมครึมเช่นนี้ ถือเป็นโอกาสและเวลาของฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชน ที่อดทนรอคอย และทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเข้มข้นมาตลอด แม้จะถูกดึงเข้าไปในสมการการเมือง หรือมีจุดพลุว่า พรรคการเมืองค่ายสีน้ำเงิน จะเปลี่ยนไปจับมือเป็นพันธมิตร เพื่อหาทางออกในช่วงที่การเมืองไทยตีบตัน
แต่แกนนำ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ พูดย้ำตลอด ล่าสุดเมื่อต้นเดือนมิ.ย.2568 ยืนยันพรรคประชาชนไม่ร่วมรัฐบาลในสภาชุดนี้ และชี้ว่าเป็นเพียงความพยายามสร้างอำนาจต่อรองของ 2 พรรคในรัฐบาลเท่านั้น
สะท้อนจุดยืนแน่วแน่ ให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งครั้งหน้าว่า ต้องได้ สส.เพิ่มขึ้น ตามที่เคยวางเป้าตั้งรัฐบาลพรรคเดียว แต่พร้อมเปิดกว้างร่วมงานกับพรรคการเมืองอื่น รวมทั้งพรรคภูมิใจไทย ในเรื่องแก้รัฐธรรมนูญและแก้ปัญหาของประชาชน ซึ่งประเด็นแก้รัฐธรรมนูญนั้น คนที่เป็นตัวหลักขับเคลื่อนต่อเนื่อง คือ นายพริษ วัชรสินธุ์ หรือไอติม โฆษกพรรค
ขณะเดียวกัน สส.รุ่นใหม่ของพรรค ได้ก้าวขึ้นมาโดดเด่นทดแทนรุ่นพี่ ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 2 ชุดมาแล้วหลายคน รวมทั้ง สส.ไอซ์ น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพฯ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนให้มีการตรวจสอบเรื่องสำนักงานประกันสังคม หรือ สปส. ซื้ออาคารสกาย 9 สูงถึง 7 พันล้าน ทั้งที่ราคาจริง กรรมการตรวจสอบโดยปลัดมหาดไทย ระบุไว้ มีราคา 3 พันกว่าล้านบาทเท่านั้น
ล่าสุด ยังได้เคลื่อนไหวร่วมกับเพื่อน สส.หญิง 2 คนของพรรค ยื่นเรื่องต่อกรมสรรพากร ให้สอบภาษี นายทวีวัฒน์ เส้งแก้ว ที่เป็นที่ปรึกษา กสทช. และนั่งเป็นคณะอนุกรรมการ 4 ชุด ใน กสทช. กรณีอ้างเป็นเจ้าของเงิน 12 ล้านบาท ที่พบใกล้ถังขยะในเมืองทองธานี
ซึ่งไม่เพียงสะเทือนเฉพาะนายทวีวัฒน์ แต่ยังจะสะเทือนถึง กสทช. และเรื่องผลประโยชน์มหาศาลใน กสทช. อาทิ กองทุนวิจัยและพัฒนาเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือกองทุนหมื่นล้านของยูโซ่
หลังนั่งบนภูดูเสือใหญ่กัดกันจนเลือดสาด จึงได้เวลาของพรรคค่ายสีส้ม ที่จะสร้างประวัติศาสตร์การเมืองหน้าใหม่ในอีกไม่นานเกินรอ
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : นายกฯไม่ตอบปม "เดดไลน์" แลก "มหาดไทย"
"อนุทิน" ลั่นรักษาสัญญาไม่ได้ก็แยกทาง เชื่อไม่มีนายกฯ คนไหนอยู่ได้ด้วยงูเห่า