เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.2568 โดนัลด์ ทรัมป์ ปธน.สหรัฐฯ ได้จุดประเด็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในอิหร่านผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social โดยระบุว่า
แม้จะไม่ถูกหลักการทางการเมืองที่จะใช้คำว่า เปลี่ยนแปลงระบอบ แต่หากระบอบการปกครองอิหร่านในปัจจุบันไม่สามารถทำให้อิหร่านกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้ ทำไมถึงไม่เปลี่ยนแปลงระบอบล่ะ??? (MIGA - Make Iran Great Again)
ถ้อยแถลงนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ทรัมป์เอ่ยถึงแนวคิดการเปลี่ยนระบอบในเตหะราน นับตั้งแต่อิสราเอลเปิดฉากรุกรานอิหร่าน และสหรัฐฯ ได้เข้าร่วมการยกระดับความขัดแย้งด้วยการโจมตีฐานนิวเคลียร์ฟอร์โดว์, อิสฟาฮาน และ นาทานซ์
อย่างไรก็ตาม ท่าทีของทรัมป์นี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับจุดยืนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลสหรัฐฯ เจ.ดี. แวนซ์ รองประธานาธิบดี และ พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหม ได้ย้ำชัดว่าเป้าหมายของสหรัฐฯ คือการป้องกันไม่ให้อิหร่านครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ และสหรัฐฯ ไม่ได้ต้องการโค่นล้มรัฐบาลอิหร่านปัจจุบัน
เฮกเซธกล่าวว่าภารกิจนี้ "ไม่ใช่และไม่เคยเป็น" การเปลี่ยนแปลงระบอบ ในขณะที่แวนซ์เสริมว่าพวกเขาต้องการยุติโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน และจากนั้นจึงจะเจรจากับอิหร่านเพื่อหาทางออกในระยะยาว แม้ว่าเจ้าหน้าที่บางคนจะพยายามควบคุมสถานการณ์
แต่ทรัมป์กลับเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ที่รัฐบาลอิหร่านอาจถูกโค่นล้มในที่สุด ในขณะที่ นายกฯ อิสราเอล เบนจามิน เนทันยาฮู ก็เคยแสดงท่าทีต่อแนวคิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในอิหร่านมานานแล้ว โดยชี้ว่าแม้จะไม่ใช่เป้าหมายหลักของการปฏิบัติการของอิสราเอล แต่อาจเป็นผลลัพธ์ที่ตามมาได้
"ระบอบเทวาธิปไตยอิสลาม" ศาสนาปกครองการเมือง
การเมืองของอิหร่านดำเนินอยู่ในกรอบของ "ระบอบเทวาธิปไตยอิสลาม" (Islamic theocracy) ซึ่งก่อตั้งขึ้นหลังการโค่นล้มสถาบันกษัตริย์ในการปฏิวัติอิสลามเมื่อ ปี 1979 รัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านที่ประกาศใช้ในเดือน ธ.ค.1979 กำหนดให้ศาสนาอิสลามชีอะห์เป็นศาสนาประจำรัฐ และผสานองค์ประกอบของเทวาธิปไตย โดยมีหลัก "การปกครองโดยนักนิติศาสตร์อิสลาม" หรือ Guardianship of the Islamic Jurist เข้ากับระบบประธานาธิบดีในรูปแบบประชาธิปไตยทางศาสนา แม้จะมีการจัดการเลือกตั้งเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม สถาบันวิจัย V-Dem ปี 2024 จัดอิหร่านเป็นระบอบอัตตาธิปไตยแบบมีการเลือกตั้ง เนื่องจากการจำกัดผู้สมัครและอำนาจของผู้นำสูงสุด
กลไกการปกครองของอิหร่านประกอบด้วยสถาบันที่ถูกเลือกตั้งโดยตรง ถูกเลือกตั้งโดยอ้อม และได้รับการแต่งตั้ง ซึ่งต่างมีอิทธิพลต่อกันและกัน ประชาชนอิหร่านเลือกตั้งประธานาธิบดี รัฐสภา (Majlis) และสภาผู้เชี่ยวชาญ (Assembly of Experts) โดยตรง อย่างไรก็ตาม ผู้สมัครทุกคนที่ลงเลือกตั้งในตำแหน่งเหล่านี้จะต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติอย่างเข้มงวดโดย "สภาผู้พิทักษ์" ซึ่งเป็นองค์กรสำคัญที่คัดกรองผู้สมัครส่วนใหญ่ออกไป

อำนาจอันไร้ขีดจำกัดของ "ผู้นำสูงสุด"
ผู้นำสูงสุด (Supreme Leader) ของอิหร่านคือ ประมุขแห่งรัฐและผู้มีอำนาจทางการเมืองและศาสนาสูงสุดในประเทศ อยู่เหนือกว่าประธานาธิบดี ตำแหน่งนี้ได้รับการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญให้เป็น "ผู้นำตลอดชีพ" โดยมีพื้นฐานจากหลัก "การปกครองโดยนักนิติศาสตร์อิสลาม" ปัจจุบันคือ อยาตอลลาห์ อาลี คาเมเนอี ซึ่งอยู่ในอำนาจมาตั้งแต่ปี 1989
ผู้นำสูงสุดมีอำนาจกว้างขวางอย่างมากภายใต้รัฐธรรมนูญมาตรา 110 รวมถึงการกำหนดนโยบายทั่วไปของสาธารณรัฐอิสลาม และการกำกับดูแลการนำนโยบายเหล่านั้นไปใช้ อำนาจของเขายังครอบคลุมถึงการบัญชาการกองทัพ แต่งตั้งผู้บัญชาการทหารและหัวหน้ากองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) และหัวหน้าตำรวจ
นอกจากนี้ เขายังควบคุมระบบยุติธรรม สถานีโทรทัศน์ของรัฐ และองค์กรสำคัญอื่น ๆ เช่น สภาผู้พิทักษ์ และ สภาวินิจฉัยประโยชน์สูงสุด (Expediency Discernment Council) คาเมเนอี ยังมีอิทธิพลในการเลือกตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ข่าวกรอง และการต่างประเทศ รวมถึงกระทรวงวิทยาศาสตร์ซึ่งมีหน้าที่แต่งตั้งหัวหน้ามหาวิทยาลัย อำนาจของเขายังครอบคลุมถึงการออกคำสั่งและการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม นโยบายต่างประเทศ การศึกษา การวางแผนการเติบโตของประชากร และความโปร่งใสในการเลือกตั้ง รวมถึงการตัดสินใจปลดและแต่งตั้งรัฐมนตรีในคณะรัฐบาล
แม้จะมีอำนาจมหาศาล แต่อำนาจของผู้นำสูงสุดก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบโดยสิ้นเชิง ตำแหน่งผู้นำสูงสุดจะได้รับเลือกจากสภาผู้เชี่ยวชาญ (Assembly of Experts) ซึ่งประกอบด้วยนักนิติศาสตร์ 88 คนที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติยังไม่ชัดเจนว่าสภาผู้เชี่ยวชาญเคยตรวจสอบคาเมเนอีอย่างจริงจังหรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีข้อจำกัดที่ไม่เป็นทางการที่ผู้นำสูงสุดต้องคำนึงถึง เช่น การสะท้อนฉันทามติในหมู่ชนชั้นนำ

บทบาทสำคัญของ "สภาผู้พิทักษ์"
สภาผู้พิทักษ์ (Guardian Council) คือ องค์กร 12 คนที่ได้รับการแต่งตั้งและบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มีอำนาจและอิทธิพลอย่างมากในสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน สภาประกอบด้วยนักนิติศาสตร์อิสลาม 6 คนที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอิสลาม โดยได้รับการคัดเลือกโดยผู้นำสูงสุด และนักนิติศาสตร์อีก 6 คนที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายต่าง ๆ โดยได้รับการเลือกจากรัฐสภา (Majlis) จากบรรดานักนิติศาสตร์มุสลิมที่ได้รับการเสนอชื่อโดยหัวหน้าฝ่ายตุลาการ ซึ่งผู้นำสูงสุดเป็นผู้แต่งตั้งเช่นกัน สภาผู้พิทักษ์มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ 3 บทบาทหลัก ได้แก่
- อำนาจยับยั้งร่างกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา หากเห็นว่าขัดต่อกฎหมายอิสลามหรือรัฐธรรมนูญ
- กำกับดูแลการเลือกตั้ง แต่สภาผู้พิทักษ์ตีความคำว่า "กำกับดูแล" ในรัฐธรรมนูญว่าเป็น "การกำกับดูแลเพื่ออนุมัติ" (Approbation supervision) ซึ่งหมายถึงการมีสิทธิ์ที่จะยอมรับหรือไม่ยอมรับ ความชอบด้วยกฎหมายของการเลือกตั้งและความสามารถของผู้สมัคร
- อนุมัติหรือตัดสิทธิ์ผู้สมัคร มีอำนาจอนุมัติหรือตัดสิทธิ์ผู้สมัครที่ต้องการลงเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น รัฐสภา ประธานาธิบดี หรือสภาผู้เชี่ยวชาญ
ด้วยอำนาจของสภาผู้พิทักษ์เช่นนี้ ทำให้สภาผู้พิทักษ์เผชิญกับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในประเด็นด้านประชาธิปไตยและการคัดกรองผู้สมัคร เช่น
- การตัดสิทธิ์ผู้สมัครโดยพลการ เช่น ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2009 มีผู้สมัคร 476 คน แต่มีเพียง 4 คนเท่านั้นที่ได้รับการอนุมัติ
- การเพิ่มบทบาทของ IRGC สภาผู้พิทักษ์มักให้สิทธิพิเศษแก่ผู้สมัครที่เป็นทหาร ทำให้กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) มีอิทธิพลเหนือชีวิตทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของอิหร่าน
- การยับยั้งกฎหมาย ด้วยการที่สภาแห่งนี้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จึงมักยับยั้งร่างกฎหมายที่ผ่านโดยสภานิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนอยู่บ่อยครั้ง
- ขาดความโปร่งใส การตัดสินใจของสภาผู้พิทักษ์บ่อยครั้ง ได้บ่อนทำลายความชอบธรรมในสายตาของชาวอิหร่านและประชาคมโลก

ประธานาธิบดีที่ถูกคัดกรอง
ประธานาธิบดีอิหร่านเป็นตำแหน่งสูงสุดที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงและได้รับความนิยม ในหลายประเทศที่ปกครองโดยระบอบประธานาธิบดี ตำแหน่งนี้อาจเป็นตำแหน่งสูงสุดแห่งรัฐ แต่สำหรับประธานาธิบดีอิหร่าน ต้องดำเนินการตามคำสั่งและรับผิดชอบต่อผู้นำสูงสุดเท่านั้น และผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีทุกคนจะต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติจากสภาผู้พิทักษ์อีกด้วย

อิทธิพลของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC)
กองกำลัง IRGC เป็นหนึ่งในองค์กรที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอิหร่าน ก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นผู้พิทักษ์หลักของการปฏิวัติปี 1979 ปัจจุบัน IRGC ได้แทรกซึมเข้าสู่ชีวิตทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของอิหร่านอย่างลึกซึ้ง ผู้นำสูงสุด อยาตอลลาห์ อาลี คาเมเนอี พิจารณาว่าคณะนายทหารของ IRGC มีความสามารถในการบริหารจัดการวิกฤตการณ์ได้ดีกว่าทีมงานจากระบบราชการ นอกจากนี้ สภาผู้พิทักษ์ยังให้สิทธิพิเศษแก่ทหารผ่านศึกของ IRGC ในการเลือกตั้ง ส่งผลให้สมาชิกคณะรัฐมนตรีหลายคน รวมถึงผู้ว่าการจังหวัดจำนวนมาก เป็นอดีตนายทหารหรือเจ้าหน้าที่ของ IRGC
แม้ว่าการเข้าแทรกแซงทางการเมืองของ IRGC จะไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ก็ไม่ได้ถูกห้ามตามกฎหมาย บทบาทของ IRGC ถูกกำหนดให้เป็นการต่อสู้ทางกฎหมายกับองค์ประกอบหรือขบวนการที่มีเป้าหมายในการก่อวินาศกรรมหรือทำลายสาธารณรัฐอิสลาม
ในอดีต IRGC ถูกใช้เพื่อปราบปรามการต่อต้านภายในและรวมอำนาจของอยาตอลลาห์ โคมัยนี นอกจากนี้ มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ กลับยิ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับ IRGC อย่างไม่คาดคิด เนื่องจากระบบของอิหร่านต้องพึ่งพา IRGC ในการจัดหาสินค้าที่ถูกห้ามภายใต้มาตรการคว่ำบาตร และในการหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มบทบาททางทหารในสังคมอิหร่านด้วย

โครงสร้างการปกครองอิหร่านแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก
สถาบันที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง
- ประธานาธิบดี เลือกทุก 4 ปี ดำรงตำแหน่งสูงสุดที่มาจากประชาชน แต่ต้องผ่านการคัดกรองจากสภาผู้พิทักษ์
- รัฐสภา (Majlis) สมาชิก 290 คน เลือกทุก 4 ปี ออกกฎหมายและอนุมัติงบประมาณ
- สภาผู้เชี่ยวชาญ (Assembly of Experts) นักนิติศาสตร์ 88 คน เลือกทุก 8 ปี ทำหน้าที่เลือกและถอดถอนผู้นำสูงสุด
สถาบันที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม
- สภาผู้พิทักษ์ 12 สมาชิก (6 คนแต่งตั้งโดยผู้นำสูงสุด อีก 6 คนเลือกโดยรัฐสภาจากผู้ที่หัวหน้าฝ่ายตุลาการเสนอ)
สถาบันที่ได้รับการแต่งตั้ง
- ผู้นำสูงสุด และหน่วยงานที่เขาควบคุม เช่น กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) และฝ่ายตุลาการ
ไม่ใช่ครั้งแรก! ทรัมป์เรียกร้องอิหร่านเปลี่ยนการปกครอง
มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ และชาติตะวันตกบังคับใช้ต่ออิหร่านมากว่า 40 ปี โดยเฉพาะนโยบาย "แรงกดดันสูงสุด" ในยุค ปธน.ทรัมป์ สมัยแรก ต่อเนื่องถึงยุค ปธน.ไบเดน ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจและสังคมอิหร่าน ซึ่งมีผลโดยตรงต่อความมั่นคงของระบอบเทวาธิปไตยอิสลาม ความยากจนที่เพิ่มขึ้น (คนยากจนเพิ่ม 4,000,000 คน ชนชั้นกลาง 8,000,000 คน กลายเป็นชนชั้นล่าง) และราคาสินค้าพุ่งสูง ทำให้ประชาชนสูญเสียความหวังในอนาคต สร้างความไม่พอใจต่อรัฐบาล
แม้เป้าหมายของสหรัฐฯ คือกดดันให้ระบอบเปลี่ยนพฤติกรรมหรือล่มสลายผ่านการประท้วง แต่ผลลัพธ์กลับตรงข้าม ระบอบการปกครองแข็งกร้าวมากขึ้น ปราบปรามผู้เห็นต่างภายใน และยิ่งพึ่งพากองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) ซึ่งกลายเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักจากการหลบเลี่ยงคว่ำบาตร

ในทางกลับกัน มาตรการคว่ำบาตรยิ่งเสริมอำนาจให้ชนชั้นนำของระบอบ เช่น นักบวช และ IRGC ที่ร่ำรวยขึ้นท่ามกลางวิกฤต ขณะที่ประชาชนทั่วไปแบกรับความเดือดร้อน สิ่งนี้ทำให้ระบอบสามารถรักษาอำนาจได้โดยอาศัยการควบคุมจาก IRGC และการโฆษณาชวนเชื่อว่านี่คือ "สงครามเศรษฐกิจ" จากตะวันตก
อย่างไรก็ตาม ความไม่เท่าเทียมและการจำกัดเสรีภาพที่เพิ่มขึ้นอาจสะสมเป็นแรงกดดันภายในในระยะยาว หากไม่มีการปฏิรูป ระบอบนี้อาจเผชิญความท้าทายจากประชาชน แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากแรงกดดันภายนอก เช่น คว่ำบาตรหรือการโจมตี อาจนำไปสู่ความโกลาหลมากกว่าการพัฒนา
แหล่งที่มาข้อมูล : BBC, The Indian Express, Al Jazeera, Council on Foreign Relations, American Enterprise Institute
อ่านข่าวอื่น :
ส่องปฏิบัติการสหรัฐฯ ล้างบาง "โครงการนิวเคลียร์อิหร่าน"
กต.ออกแถลงการณ์ เหตุขัดแย้ง "อิสราเอล - อิหร่าน" เรียกร้องยุติใช้ความรุนแรง