วันนี้ (23 มิ.ย.2568) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเปิดเผยว่ารัฐบาลยกระดับการแกัปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเพื่อหาความร่วมมือกับนานาประเทศ ซึ่งอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่กระทบความเป็นอยู่และกระทบความเชื่อมั่นประชาชน รวมไปถึงสแกมเมอร์ และคอลเซนเตอร์
จากข้อมูลองค์การสหประชาชาติ (UN) ระบุว่า กัมพูชาเป็นศูนย์รวมอาชญากรรมระดับโลกและเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งมีมูลค่ากว่า 600,000 ล้านบาท ซึ่ง 40-60% ของดีจีพีกัมพูชามาจากคอลเซนเตอร์
อีกทั้งยังมีในเรื่องของการฟอกเงินที่มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรัฐบาลพยายามต้องรักษาความปลอดภัยของประชาชน
โดยหน่วยงานด้านความมั่นคงทุกหน่วยไม่ว่าจะเป็น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ เร่งดำเนินการปราบปรามอย่างเด็ดขาดตามแนวชายแดน โดยจะกำหนดมาตรการดังนี้
- ด้านความมั่นคงเพิ่มความเข้มงวดจุดเข้าออกผ่านแดนทั้งการกำหนดเปิดปิดด่านชายแดน 7 จังหวัด มีการห้ามรถยนต์ บุคคลภายนอก ยกเว้นเหตุจำเป็น เด็กนักเรียน ผู้ป่วย ประชาชนที่ซื้อของอุปโภคบริโภคที่จำเป็น นอกจากนี้ห้ามนักท่องเที่ยวไปเล่นการพนันพื้นที่ชายแดน รวมถึงเข้มงวดการเดินทางทางเครื่องบินเพื่อไปเล่นการพนัน
- ด้านอาชญากรรมเทคโนโลยี กระทรวงกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยศูนย์ AOC จะมีการตรวจสอบเรื่องของบัญชีม้า และเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องแก๊งคอลเซนเตอร์ข้ามชาติอย่างเข้มงวด รวมถึงการบริการอินเทอร์เน็ต และประตูอินเทอร์เน็ตใต้น้ำ ที่ไปยังหน่วยงานทางการทหาร และความมั่นคงของรัฐบาลกัมพูชาทั้งหมด

นอกจากนี้ต้องร่วมมือกับ ปปง.ในการสร้างมาตรการคว่ำบาตรผู้ที่เป็นอาชญากรรมข้ามชาติ ที่พบว่ามีในเรื่องของการฟอกเงิน รวมถึงการยึดและอายัดทรัพย์ที่โยกย้ายไปต่างประเทศ
ในเรื่องของการส่งออกไฟฟ้า น้ำมัน และสินค้าผ่านชายแดน ระงับส่งออกสินค้าที่เกื้อหนุนต่อกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิจารณาถึงความเหมาะสม ในการระงับส่งออกน้ำมัน เชื้อเพลิง ไปกัมพูชา ที่นำไปใช้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมายต่างๆ
- ด้านการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์มีการมาตรการในการช่วยเหลือเกษตรกร SME ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดน โดยขอความร่วมมือจากภาครัฐ และเอกชน ในการช่วยรับซื้อสินค้า
- ด้านการประสานความร่วมมือกับนานาชาติ กระทรวงการต่างประเทศประสานกับประเทศต่างๆ และองค์กรระหว่างประเทศปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยให้ไทยเป็นศูนย์กลางการปฏิบัติร่วมในภูมิภาค
ทั้งนี้ให้ทุกภาคส่วนกำหนดไทม์ไลน์และเคพีไอในการดำเนินมาตรการชัดเจน ภายใน 3 เดือน สถิติการแจ้งความ ความเสียหายของคนไทย การยึดทรัพย์ ตัวเลขความเสียหาย และการดำเนินคดีเครือข่าย จะต้องเห็นผลเป็นรูปธรรม
น.ส.แพทองธาร ยังระบุว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน จะเห็นได้ชัดว่าตั้งแต่มีมาตรการตัดน้ำ ตัดไฟชายแดนทำให้มูลค่าความเสียหายลดลงอย่างเห็นได้ชัด
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีกัมพูชาประกาศระงับซื้อน้ำมันจากไทย เบื้องต้นเป็นบริเวณพื้นที่ชายแดน หากสถานการณ์รุนแรงขึ้น และทางการกัมพูชาจะกำหนดราคาน้ำมันเอง อาจกระทบชาวกัมพูชาและคนไทยที่ทำธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจโรงแรมแต่ไม่ได้อยู่บริเวณชายแดน
ทั้งนี้ การปราบปรามขบวนการคอลเซนเตอร์ พบว่ากลุ่มดังกล่าวสูญเสียรายได้ 30,000 ล้านบาท ส่วนผู้เสียหายคนไทย สูญเสียเงินรวมวันละ 80 ล้านบาท

ขณะที่ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวว่าทหารได้รับนโยบายในการลาดตระเวนตามจุดช่องทางธรรมชาติมากยิ่งขึ้น และในปี 2569 จะจัดกำลังป้องกันประเทศให้สอดคล้องกับปัญหาขบวนการคอลเซนเตอร์
นอกจากนี้จะบูรณาการการทำงานตามแนวชายแดน ร่วมกับข้าราชการพลเรือน โดยมีศูนย์สั่งการจังหวัดที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดดูแล พร้อมส่งฐานข้อมูลกันทุกวัน รวมทั้งสนับสนุนการพูดคุยในทุกระดับทั้ง RBC, JBC และ GBC ปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยีข้ามชาติ
ต้องหาช่องทางธรรมชาติที่คนข้าม สนับสนุนซึ่งกันและกันทั้งตำรวจและทหารตามแนวชายแดน

จับมือ "อินเตอร์โพล-Aseanapol" เดินหน้า ปราบแก๊งคอลเซนเตอร์
พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า การปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ เป็นนโยบายที่ได้รับมอบหมายจากนายกฯ โดยได้ตั้งวอร์รูมเพื่อประเมินสถานการณ์ทุกวัน โดยมีหน่วยงานเข้าร่วมทั้ง ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง กสทช.มาทำงานร่วมกัน รวมถึงหน่วยงานของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ที่จะมาร่วมในศูนย์แห่งนี้ และองค์กรนานาชาติ ทั้ง สำนักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) อินเตอร์โพล (Interpol) และ Aseanapol ซึ่งตั้งวอร์รูมให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการช่วยเหลือปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ โดยเฉพาะปัจจุบันในกัมพูชาที่มีแก๊งคอลเซนเตอร์ที่ใหญ่สุดซึ่งย้ายจากเมียวดี ในเมียนมา ไปยังกัมพูชา
จเรตำรวจยังกล่าวว่า นอกจากนี้ ยังดำเนินการขยายผลออกหมายจับ ออกหมายจับบุคคลที่อยู่ในกัมพูชาเกี่ยวข้องในกัมพูชา ที่ให้ที่ตั้งแก๊งคอลเซนเตอร์ และที่เกี่ยวข้องทางการเงินจะขยายผลและขอศาลออกหมายจับต่อไป
มีการประชุมเพื่อปราบปรามคอลเซนเตอร์และการค้ามนุษย์มีการประชุมอย่างต่อเนื่อง ในการนำประเทศมาร่วมกัน อินเตอร์โพลทั้งไทยและกัมพูชาเป็นสมาชิก ซึ่งมีกลไกขับเคลื่อนให้สมาชิกเข้าช่วยเหลือในการปราบปราม
ทั้งนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเป็นเจ้าภาพจัดตำรวจแห่งชาติอาเซียน ในส่วนของตำรวจ 10 ประเทศ ในสิ้นเดือน ก.ค.นี้ ธีมหลัก คือ การปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ มีตั้งเป้าหมายในการแลกเปลี่ยนข้อมูลว่าผู้ที่ถูกหลอกโดยแก๊งคอลเซนเตอร์อยู่ที่ใด จะช่วยในการปราบปรามได้ง่ายขึ้น โดยมี 36 ประเทศที่พบว่า ถูกหลอกไปทำงานที่เมียวดี และเชื่อว่าที่กัมพูชาตัวเลขจะไม่ต่ำไปกว่านี้มาก
อ่านข่าว :
นายกฯ สั่งเข้มงวดปราบอาชญากรรมข้ามชาติ เผยกัมพูชาสูญ 30,000 ล้าน
“ภูมิธรรม” ขอรอที่ประชุม ศบ.ทก.เคาะยกระดับมาตรการชายแดนไทย-กัมพูชา
มทภ.2 รอฟังนายกฯ ยกระดับชายแดนไทย-กัมพูชา หากสู้รบปิดด่านตลอดแนว