ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

"กัมพูชา" มหากาพย์แห่งอารยธรรม โศกนาฏกรรม และการต่อสู้

ต่างประเทศ
16:57
278
"กัมพูชา" มหากาพย์แห่งอารยธรรม โศกนาฏกรรม และการต่อสู้
อ่านให้ฟัง
20:34อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
"กัมพูชา" ดินแดนแห่งนครวัด นครธม ที่เคยรุ่งเรืองสุดขีด ผ่านยุคทองของจักรวรรดิขอม สู่ฝันร้ายของเขมรแดง และการปกครองยาวนานของ ฮุน เซน จากอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ ทำไมจึงกลายเป็นหนึ่งในประเทศยากจนที่สุด ?

ประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ของกัมพูชาเริ่มต้นขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ด้วย "อาณาจักรฟูนัน" (คริสต์ศตวรรษที่ 1-6) ซึ่งเป็นเมืองท่าค้าขายที่เจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง ด้วยอิทธิพลจากอินเดีย ทั้งด้านศาสนาฮินดูและการค้าทางทะเล ทำให้ฟูนันเป็นศูนย์กลางสำคัญของภูมิภาค ต่อมา "อาณาจักรเจนละ" (คริสต์ศตวรรษที่ 6-8) ก็เข้ามารวมอำนาจและครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำโขงไปจนถึงลาวตอนกลาง แม้จะพัฒนาระบบการปกครองที่ซับซ้อน แต่เจนละก็ต้องแตกแยกออกเป็นหลายแคว้นในที่สุด

จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่นำไปสู่ยุคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกัมพูชาเกิดขึ้นในปี พ.ศ.1345 (ค.ศ.802) เมื่อพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ทรงรวมอาณาจักรเขมรให้เป็นหนึ่งเดียว และสถาปนาพระองค์เป็น "เทวราชา" หรือกษัตริย์ผู้เป็นเทพ ณ เขาพนมกุเลน การกระทำนี้ถือเป็นจุดกำเนิดของ "จักรวรรดิขอม" อันยิ่งใหญ่ ในยุคนี้เองที่กัมพูชาเต็มไปด้วยการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมหินอันวิจิตรตระการตา เช่น ปราสาทนครวัด ซึ่งสร้างขึ้นโดยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (พ.ศ.1656-1693) ถือเป็นศาสนสถานฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ยุคทองของจักรวรรดิขอมมาถึงขีดสุดในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ.1724-1762) พระองค์ทรงขับไล่ชาวจามผู้รุกราน และทรงเปลี่ยนแปลงศาสนาหลักของอาณาจักรจากฮินดูมาเป็นพุทธมหายาน พระองค์ไม่ได้เพียงสร้างศาสนสถานเท่านั้น แต่ยังทรงสร้าง "นครธม" ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่ พร้อมด้วยปราสาทสำคัญต่าง ๆ เช่น ปราสาทบายน ปราสาทตาพรหม และปราสาทบันทายฉมาร์

นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงพัฒนาระบบชลประทานอันซับซ้อน ด้วยการสร้างบาราย หรือ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ และคลองส่งน้ำ ซึ่งช่วยให้สามารถปลูกข้าวได้ถึง 3-4 ครั้ง/ปี ส่งผลให้จักรวรรดิขอมสามารถเลี้ยงดูประชากรได้นับล้านคน และแผ่ขยายอาณาเขตจากลาวตอนใต้ไปจนถึงอ่าวไทย ระบบถนนหลวงที่เชื่อมต่อหัวเมืองต่าง ๆ รวมถึงการก่อสร้าง อโรคยศาล หรือ โรงพยาบาล ถึง 102 แห่ง สะท้อนถึงความเจริญรุ่งเรืองที่หาได้ยากยิ่งในยุคสมัยนั้น

คำว่า "ขอม" ในบริบทนี้ จึงหมายถึงเขมรโบราณหรือกลุ่มชนชั้นปกครองที่สร้างอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ ส่วน "เขมร" คือกลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองที่สืบทอดวัฒนธรรม และ "กัมพูชา" คือชื่อรัฐชาติสมัยใหม่

แต่ความยิ่งใหญ่ไม่ได้คงอยู่ตลอดไป หลังการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในปี พ.ศ.1762 จักรวรรดิขอมก็เริ่มเสื่อมถอยลงจากหลายปัจจัย ค่าใช้จ่ายมหาศาลจากการก่อสร้างปราสาทและสงครามทำให้ทรัพยากรของอาณาจักรหมดสิ้น การเปลี่ยนศาสนาไปสู่พุทธเถรวาทในศตวรรษที่ 13 ทำให้สถานะความศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์ลดลง ระบบชลประทานที่เคยเป็นหัวใจสำคัญเริ่มพังทลาย จากปัญหาตะกอนและการขาดการบำรุงรักษา รวมถึงภัยแล้ง ทำให้การเกษตรล้มเหลว

ที่สำคัญคือการรุกรานจากภายนอกทั้งจากอาณาจักรอยุธยาและจาม โดยเฉพาะในปี พ.ศ.1974 อยุธยาได้เข้ายึดนครธมได้สำเร็จ นอกจากนี้โรคระบาดร้ายแรงอย่าง "กาฬโรค" ก็อาจลดจำนวนประชากรลงอย่างมาก ในที่สุด ปี พ.ศ.1975 นครธมก็ถูกทิ้งร้าง และกัมพูชาเข้าสู่ "ยุคมืด" และตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส (พ.ศ.2406-2496) การสูญเสียดินแดนและอำนาจนี้ทำให้กัมพูชาอ่อนแอลงอย่างมาก

กัมพูชาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสในปี พ.ศ.2496 ภายใต้การนำของ "สมเด็จพระนโรดม สีหนุ" พระองค์ทรงดำเนินนโยบายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดในยุคสงครามเย็น แต่การที่กัมพูชาอนุญาตให้เวียดนามเหนือใช้พื้นที่บางส่วนตั้งฐานทัพและเส้นทางลำเลียงเสบียง ก็ทำให้เกิดความขัดแย้งภายในประเทศอย่างหนัก

"เขมรแดง" ฝันร้ายของกัมพูชา

ศตวรรษที่ 20 นำพากัมพูชาเข้าสู่โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติ นั่นคือการปกครองโดย "เขมรแดง" กลุ่มคอมมิวนิสต์สุดโต่งที่เปลี่ยนประเทศให้กลายเป็นนรกบนดิน

เรื่องราวเริ่มต้นจากสงครามกลางเมืองกัมพูชา (พ.ศ.2510-2518) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามเวียดนามและสงครามเย็น ในปี พ.ศ. 2513 นายพล ลอน นอล ก่อรัฐประหาร โค่นล้มสมเด็จพระนโรดม สีหนุ และสถาปนา "สาธารณรัฐเขมร" ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ลี้ภัยไปจีน ได้ตัดสินใจจับมือกับจีน เวียดนามเหนือ และเขมรแดง ซึ่งเป็นฝ่ายต่อต้านลอน นอล การผนึกกำลังนี้ยิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับเขมรแดงอย่างมหาศาล ด้วยบารมีของเจ้านโรดม สีหนุ ที่ประชาชนจำนวนมากยังคงศรัทธาอยู่

เขมรแดง หรือ พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา (CPK) มี "พล พต" หรืออีกชื่อ สลอต ซา เป็นผู้นำสูงสุด พวกเขาเริ่มต้นจากกองโจรขนาดเล็กในชนบทห่างไกล โดยได้รับอิทธิพลอย่างมากจากแนวคิดคอมมิวนิสต์แบบมาร์กซิสต์-เลนินนิสต์ ผสมกับแนวคิดของ เหมา เจ๋อตง

เจ้านโรดม สีหนุ

เจ้านโรดม สีหนุ

เจ้านโรดม สีหนุ

เขมรแดงได้รับการสนับสนุนจากเวียดนามเหนือและจีน ซึ่งมองว่ากลุ่มนี้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับสหรัฐฯ และพันธมิตร การเติบโตของเขมรแดงยังได้รับแรงหนุนจาก ปฏิบัติการทิ้งระเบิดของสหรัฐฯ ในกัมพูชา ที่ชื่อ ปฏิบัติการ Menu และ Freedom Deal ใน พ.ศ. 2512-2516 การทิ้งระเบิดที่มีเป้าหมายสกัดกั้นเส้นทางลำเลียงของเวียดนามเหนือผ่านกัมพูชา แต่กลับคร่าชีวิตชาวกัมพูชาประมาณ 150,000-500,000 คน และทำลายหมู่บ้านนับพันแห่ง

เหตุการณ์นี้สร้างความโกรธแค้นในหมู่ชาวนาจำนวนมาก ซึ่งกลายเป็นฐานสนับสนุนสำคัญของเขมรแดง การโฆษณาชวนเชื่อที่ต่อต้านจักรวรรดินิยมสหรัฐฯ และ ระบอบลอน นอล ดึงดูดประชาชนที่เดือดร้อนจากสงครามและความยากจน ทำให้เขมรแดงขยายกำลังจากเพียงไม่กี่พันคนในปี 2510 เป็น 70,000 คนในปี 2518

ในที่สุด วันที่ 17 เม.ย.2518 เขมรแดงก็สามารถยึดกรุงพนมเปญได้สำเร็จ ลอน นอล หนีออกนอกประเทศ และกัมพูชาเข้าสู่ยุค "กัมพูชาประชาธิปไตย" ภายใต้การนำของ พล พต ระบอบนี้มุ่งสร้างสังคมใหม่ที่ไร้ชนชั้น ไร้เงินตรา และไร้เมือง โดยอุดมการณ์ของพวกเขาคือการสร้าง "สังคมเกษตรกรรมคอมมิวนิสต์ที่ไร้ชนชั้น" ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิดของ เหมา เจ๋อตง ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน

พวกเขามองว่าเมืองและระบบทุนนิยมเป็นรากเหง้าของความชั่วร้าย และเชื่อว่าการนำประชาชนกลับสู่ชนบทเพื่อทำเกษตรกรรมจะสร้างสังคมบริสุทธิ์ อุดมการณ์นี้ถูกเรียกว่า ศักราชที่ 0 (Year Zero) หมายถึงการเริ่มต้นประวัติศาสตร์ใหม่โดยการลบทุกสิ่งทุกอย่างจากอดีต โดยมีนโยบายหลักที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรม

1.การอพยพเมือง ภายใน 48 ชั่วโมงหลังยึดพนมเปญ เขมรแดงสั่งอพยพประชากรเมืองนับล้านคน รวมถึงเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วย ออกจากเมืองไปยังชนบท โดยอ้างว่าเพื่อหลบภัยจากการโจมตีของสหรัฐฯ แต่แท้จริงคือเพื่อควบคุมประชากรและบังคับใช้แรงงานเกษตร ผู้ที่ขัดขืนจะถูกประหารทันที

ชาวกัมพูชาอพยพออกจากพนมเปญ

ชาวกัมพูชาอพยพออกจากพนมเปญ

ชาวกัมพูชาอพยพออกจากพนมเปญ

2.ยกเลิกเงินตราและโครงสร้างสังคม เขมรแดงยกเลิกเงินตรา ตลาด โรงเรียน และศาสนา วัดพุทธถูกทำลาย พระสงฆ์ถูกบังคับสึกหรือประหาร ครอบครัวถูกแยกจากกัน และเด็กถูกฝึกให้เป็นทหารหรือสายลับเพื่อจับกุมครอบครัวตนเอง

3.แรงงานทาสในนาข้าว ประชากรถูกจัดกลุ่มเป็น "คนเก่า" (ชาวนาในชนบทที่เขมรแดงมองว่า "บริสุทธิ์") และ "คนใหม่" (คนเมืองที่ถูกมองว่าเป็น "ศัตรู") คนใหม่ถูกบังคับทำงานในนาข้าวและโครงการชลประทานวันละ 12-16 ชั่วโมง โดยแทบไม่มีอาหารหรือการพักผ่อน ทำให้ผู้คนล้มป่วย ขาดอาหาร และเสียชีวิตจำนวนมาก

4.การประหารศัตรู เขมรแดงกำจัดทุกคนที่สงสัยว่าเป็น "ศัตรูของการปฏิวัติ" อย่างเป็นระบบ เป้าหมายคือ ปัญญาชน ครู แพทย์ ข้าราชการ ผู้ที่ใส่แว่นตา (เพราะคิดว่าเป็นหนอนหนังสือ เป็นคนมีความรู้) หรือพูดภาษาต่างชาติ กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เช่น ชาวจาม เวียดนาม จีน ไทย ลาว และแม้แต่พระสงฆ์ ก็ถูกกวาดล้างอย่างโหดเหี้ยม

โครงการเกษตรและชลประทานของเขมรแดงนั้นไร้ประสิทธิภาพ พวกเขาวางแผนที่จะเปลี่ยนกัมพูชาให้เป็น "อู่ข้าวอู่น้ำ" ด้วยเป้าหมายผลผลิตข้าว 3 ตัน/เฮกตาร์ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ไม่สมจริง โครงการชลประทานขนาดใหญ่ที่สร้างโดยแรงงานทาสที่ขาดความรู้ด้านวิศวกรรม ส่งผลให้โครงสร้างเหล่านี้พังทลาย ผลผลิตข้าวลดลงอย่างมากจาก 1.4 ล้านตันในปี 2513 เหลือเพียง 400,000 ตันในปี 2519 

ความอดอยากแพร่ระบาดอย่างหนัก จนประชาชนต้องกินใบไม้ รากไม้ หรือแมลงเพื่อประทังชีวิต

สถานที่ต่าง ๆ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความโหดร้าย

  • คุกตวลสเลง หรือ S-21 ในพนมเปญ ซึ่งเดิมเป็นโรงเรียน ได้กลายเป็นศูนย์ทรมานและประหารชีวิต มีผู้ถูกคุมขังราว 20,000 คน และรอดชีวิตเพียง 7 คน ผู้ต้องขังถูกสอบสวนอย่างทารุณเพื่อให้สารภาพว่าเป็น "สายลับ CIA" หรือ "ศัตรู" ก่อนถูกส่งไปประหาร
  • ทุ่งสังหาร ที่มีเกือบร้อยที่ทั่วประเทศ เป็นสถานที่ประหารหมู่ โดยใช้จอบหรือไม้ตีศีรษะเพื่อประหยัดกระสุน และแม้แต่ทารกก็ถูกฆ่าด้วยการโยนชนต้นไม้ต่อหน้าพ่อแม่

ผลลัพธ์คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide) ที่คร่าชีวิตประชากรกัมพูชา 1.7-2 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 25 ของประชากรทั้งหมด 7.8 ล้านคน ระหว่างปี พ.ศ.2518-2522 ผู้เสียชีวิตมาจากการประหารชีวิต ความอดอยาก และโรคภัยไข้เจ็บ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นี้ยังคงทิ้งบาดแผลลึกให้กัมพูชาจนถึงปัจจุบัน ด้วยการสูญเสียบุคลากรที่มีการศึกษาและโครงสร้างสังคมไปอย่างมหาศาล

ฮุน เซน

ฮุน เซน

ฮุน เซน

การล่มสลายของเขมรแดงเกิดขึ้นจากความขัดแย้งภายใน โดยเฉพาะการกวาดล้างภายในพรรค และความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นจากการโจมตีชายแดนเวียดนาม ในปี พ.ศ.2521 เวียดนามบุกกัมพูชาเพื่อตอบโต้ และในวันที่ 7 ม.ค.2522 ก็สามารถโค่นล้มระบอบเขมรแดงได้สำเร็จ เวียดนามสถาปนา "สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา" โดยมี "เฮง สัมริน" เป็นผู้นำ และ "ฮุน เซน" ซึ่งในขณะนั้นเป็นอดีตผู้บัญชาการกองพันเขมรแดงที่แปรพักตร์ไปเวียดนามตั้งแต่ปี 2520 ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในแกนนำสำคัญของรัฐบาลใหม่

อย่างไรก็ตาม สงครามยังไม่จบลง เขมรแดงถอยไปตั้งฐานตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และต่อสู้แบบกองโจร โดยได้รับการสนับสนุนจากจีน สหรัฐฯ และบางส่วนจากไทย ที่มองว่าเวียดนามเป็นภัยคุกคามหลักในภูมิภาค

สงครามกองโจรนี้กินเวลานานกว่าทศวรรษและนำไปสู่การรวมกลุ่มของ "เขมร 3 ฝ่าย" (พ.ศ.2522-2534) เพื่อต่อต้านรัฐบาลที่เวียดนามหนุนหลัง ได้แก่

  1. เขมรแดง นำโดยพล พต
  2. ฟุนซินเปก พรรคราชวงศ์ของสมเด็จพระนโรดม สีหนุ
  3. แนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติประชาชนเขมร (KPNLF) นำโดย ซอน ซาน

ทั้ง 3 ฝ่ายรวมตัวกันเป็น รัฐบาลแนวร่วมกัมพูชาประชาธิปไตย (CGDK) ในปี พ.ศ.2525 และได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติ สงครามสิ้นสุดลงด้วย ข้อตกลงสันติภาพปารีส ในปี พ.ศ.2534 ซึ่งนำไปสู่การเลือกตั้งในปี 2536 ภายใต้การดูแลของ UNTAC (องค์การบริหารชั่วคราวแห่งสหประชาชาติ)

"ฮุน เซน" เสถียรภาพหรือเผด็จการ ?

ในบรรยากาศแห่งความไม่แน่นอนหลังการโค่นล้มเขมรแดง ชายหนุ่มนาม "ฮุน เซน" จากครอบครัวชาวนา ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญ เข้าร่วมกับกองทัพเขมรแดงตั้งแต่อายุ 18 ปี และได้รับการฝึกฝนการรบจากเวียดนาม แต่เมื่อเห็นความรุนแรงและการกดขี่ของระบอบเขมรแดง ฮุน เซน ก็ตัดสินใจแปรพักตร์และหนีไปเข้าร่วมกับกลุ่มต่อต้านเขมรแดงในเวียดนาม

เมื่อเวียดนามโค่นล้มเขมรแดงในปี 2522 ฮุน เซนได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ในรัฐบาลหุ่นเชิดที่เวียดนามจัดตั้งขึ้น และด้วยวัยเพียง 33 ปี เขาก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา" ตอนปี พ.ศ.2528 นับเป็นนายกฯ ที่อายุน้อยมากในประวัติศาสตร์

พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ และ ฮุน เซน

พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ และ ฮุน เซน

พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ และ ฮุน เซน

แม้จะขึ้นเป็นผู้นำ แต่กัมพูชายังไม่สงบสุข เขมรแดงยังคงเคลื่อนไหวตามแนวชายแดน และรัฐบาล ฮุน เซน ก็ถูกมองว่าเป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของเวียดนาม ซึ่งสร้างความไม่พอใจในหมู่ชาวกัมพูชาจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่ชาวเวียดนามจำนวนมากเข้ามาอาศัยอยู่ในกัมพูชา สถานการณ์ทางการเมืองมีความซับซ้อนอย่างยิ่ง จนกระทั่ง "ประเทศไทย" ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวกลางเจรจาตามนโยบาย "เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า" ซึ่งนำไปสู่การที่เวียดนามยอมถอนทหารออกจากกัมพูชาในปี 2534

หลังเวียดนามถอนทหาร กัมพูชายังคงแบ่งออกเป็น 4 ฝ่ายหลัก (3 ฝ่ายที่รวมตัวกันเป็น รัฐบาลแนวร่วมกัมพูชาประชาธิปไตย (CGDK) และ อีกฝ่ายคือ รัฐบาลเฮง สัมริน) สหประชาชาติ (UN) จึงเข้ามาจัดการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2536 โดยมี 4 พรรคการเมืองจาก 4 ฝ่ายลงสมัครเลือกตั้ง

การเลือกตั้งครั้งนี้มีประชาชนออกมาใช้สิทธิ์สูงถึงร้อยละ 90 พรรคฟุนซินเปกชนะการเลือกตั้งไปอย่างเฉียดฉิว แต่ด้วยสถานการณ์ที่เปราะบาง พรรคของฮุน เซน ไม่พอใจ และแสดงความต้องการแบ่งแยกดินแดนกัมพูชา เจ้านโรดม สีหนุที่กลับมาเป็นกษัตริย์ จึงตัดสินใจให้จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลที่มีนายกรัฐมนตรี 2 คน คือ เจ้านโรดม รณฤทธิ์ (ลูกชาย) เป็นนายกฯ คนที่ 1 และ ฮุน เซน เป็นนายกฯ คนที่ 2

เจ้านโรดม รณฤทธิ์ และ ฮุน เซน

เจ้านโรดม รณฤทธิ์ และ ฮุน เซน

เจ้านโรดม รณฤทธิ์ และ ฮุน เซน

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลผสมนี้ไม่มีเสถียรภาพ ในปี พ.ศ. 2540 ฮุน เซน ตัดสินใจก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากฝ่ายเจ้านโรดม รณฤทธิ์ และจัดการเลือกตั้งครั้งถัดมาในปี 2541 พรรคของ ฮุน เซน ได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นอย่างเด็ดขาด และเขาก็ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว ดำรงตำแหน่งนี้ต่อเนื่องยาวนานเกือบ 39 ปี จนถึงปี พ.ศ.2566

ในปี พ.ศ.2566 ฮุน เซน ได้ก้าวลงจากตำแหน่งผู้นำตลอดกาลของกัมพูชา และเสนอชื่อ ฮุน มาเนต ลูกชายคนโต ให้เป็นนายกฯ คนถัดไป การกระทำนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเมืองแบบ "ราชวงศ์" ที่กำลังก่อร่างสร้างตัว ซึ่งอาจยืดเยื้อปัญหาความเหลื่อมล้ำและการทุจริตในกัมพูชาต่อไป "ตระกูลฮุน" ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ฮุน มานิจ (ลูกชายคนที่ 2) ฮุน มานี (ลูกชายคนเล็ก) และ ฮุน มานา (ลูกสาว) ต่างก็มีบทบาทและอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจอย่างมากในกัมพูชา

จากอดีตอันยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิขอม สู่ฝันร้ายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยเขมรแดง และการฟื้นตัว ภายใต้ผู้นำที่ทรงอิทธิพล "กัมพูชา" เป็นบทเรียนที่สำคัญของความยิ่งใหญ่ที่อาจสูญสิ้น และความหวังที่ยังคงต้องต่อสู้ดิ้นรนกับมรดกทางประวัติศาสตร์และความท้าทายในปัจจุบัน เพื่อที่จะเบ่งบานอย่างเต็มศักยภาพในอนาคต

รู้หรือไม่ : "เขมรแดง" มาจากคำว่า Khmer Rouge โดยคำว่า Rouge เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า "สีแดง" ซึ่งมาจากกลุ่มนักศึกษาปัญญาชนชาวกัมพูชาที่ไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสในยุครุ่งเรืองของลัทธิมาร์กซิสต์-เลนินนิสต์ นำโดย "พล พต"   

แหล่งข้อมูล : The Khmers of Angkor - From Glory to DeclineThe Khmer EmpireCambodian Civil War