วันนี้ (27 มิ.ย.2568) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม, นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีและหัวหน้าชุดตรวจการณ์สุดซอย หรือ "ทีมสุดซอย" และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ ต.หัวสำโรง อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา หลังได้รับร้องเรียนจากชาวบ้านที่ร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาลขุดสำรวจน้ำใต้ดิน แล้วพบ ของเหลวสีดำ และ ถุงบิ๊กแบ็ค ที่บรรจุกากอุตสาหกรรม ส่งกลิ่นเหม็นรุนแรง สร้างผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่

นายเอกนัฏ เปิดเผยว่า กรมทรัพยากรน้ำบาดาลดำเนินโครงการติดตามคุณภาพน้ำในพื้นที่เสี่ยงลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม โดยจังหวัดฉะเชิงเทราเป็นพื้นที่เฝ้าระวัง จึงใช้วิธีเจาะติดตั้งบ่อสังเกตการณ์เพื่อตรวจสอบการรั่วไหลของสารเคมีในอนาคต พื้นที่นี้เคยมีประวัติการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมตั้งแต่ปี 2565 หลังเกิดเหตุไฟไหม้ ซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทราได้ดำเนินคดีกับเจ้าของที่ดินแล้ว โดยพบการฝังและกองกากอุตสาหกรรมอันตรายปริมาณมากอย่างผิดกฎหมาย และสั่งให้กำจัดและขนย้ายออกจากพื้นที่
อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบล่าสุดในที่ดิน 11 ไร่พบว่า ยังมีกากอุตสาหกรรมซ่อนอยู่อย่างมหาศาล กรมโรงงานฯ ประเมินคร่าว ๆ ว่า หากขุดลึกไม่ต่ำกว่า 3 เมตร อาจพบกากอุตสาหกรรมมากถึง 47,399 ตัน ซึ่งนายเอกนัฏตั้งคำถามว่า เหตุใดการกำจัดตามคำสั่งเมื่อปี 2565 จึงไม่สมบูรณ์ และสั่งสอบสวนทั้งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องว่ามีส่วนรู้เห็นหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่
"เบื้องหลังการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมนี้ คาดว่าเป็นขบวนการที่มีความซับซ้อน ต้องประสานงานกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อขยายผล เจ้าของที่ดินต้องถูกดำเนินคดี และกระทรวงอุตสาหกรรมกำลังผลักดัน พ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรม เพื่อปิดช่องโหว่ทางกฎหมาย เพิ่มบทลงโทษที่รุนแรงขึ้น เพื่อกำจัดธุรกิจสีเทาและสีดำให้สิ้นซาก" นายเอกนัฏกล่าว

นอกจากนี้ นายเอกนัฏสั่งให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมออกประกาศควบคุมการตั้งและขยายโรงงานรีไซเคิลทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งมีโรงงานหนาแน่น และมอบหมายให้ทีมสุดซอยตรวจสอบโรงงานรีไซเคิลอย่างเข้มข้น เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้าหรือทิ้งกากอุตสาหกรรมจากพื้นที่อื่น รวมถึงตรวจสอบเส้นทางการขนย้ายขยะพิษที่อาจเชื่อมโยงกับโรงงานในพื้นที่
การค้นพบกากอุตสาหกรรมในครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกในพื้นที่ ต.หัวสำโรง อ.แปลงยาว ชาวบ้านร้องเรียนมานานนับปีเกี่ยวกับกลิ่นเหม็นรุนแรงและมลพิษจากโรงงานรีไซเคิล โดยเฉพาะโรงงานที่เกี่ยวข้องกับขยะอิเล็กทรอนิกส์และการกลั่นน้ำมันจากยางรถยนต์หรือพลาสติก ซึ่งมักละเมิดกฎหมาย เช่น การปล่อยน้ำเสีย ระบบบำบัดมลพิษที่ไม่ได้มาตรฐาน และการทิ้งกากอุตสาหกรรมเกลื่อนพื้นที่
ก่อนหน้านี้ ทีมสุดซอยได้ปิดโรงงานผิดกฎหมายในพื้นที่เดียวกัน เช่น บริษัท หย่งถัง ไทย จำกัด ที่ลักลอบคัดแยกขยะพิษและแจกจ่ายดินปนเปื้อนให้ชาวบ้าน รวมถึง บริษัท บางกอก ไทร์ รีไฟเนอรี่ จำกัด ที่กลั่นน้ำมันจากยางรถยนต์และพลาสติกโดยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย การตรวจพบของเหลวสีดำและถุงบิ๊กแบ็คในครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำว่า ปัญหาการจัดการกากอุตสาหกรรมในฉะเชิงเทรายังคงรุนแรงและซับซ้อน

ชาวบ้านใน ต.หัวสำโรง บอกว่า การปนเปื้อนของกากอุตสาหกรรมส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เช่น อาการระคายเคืองทางเดินหายใจ และความกังวลเกี่ยวกับน้ำใต้ดินที่อาจไม่ปลอดภัยสำหรับการเกษตรและการบริโภค นายเอกนัฏ ย้ำว่า กระทรวงอุตสาหกรรมจะไม่ยอมให้ผู้ประกอบการที่ละเมิดกฎหมายลอยนวล พร้อมเดินหน้า นโยบายสู้ เซฟ สร้าง เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยการตรวจสอบโรงงานกลุ่มเสี่ยงทั่วประเทศ รวมถึงในจังหวัดชลบุรี ระยอง ปราจีนบุรี และพื้นที่อีอีซีอื่น ๆ จะดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น
อ่านข่าวอื่น :
"ประเสริฐ" ปัดทราบข่าวนายกฯ ทูลเกล้าฯ รายชื่อ ครม.ใหม่
ตร.คุมเข้มชุมนุมอนุสาวรีย์ชัยฯ เฝ้าระวังกิจกรรมคู่ขนาน ตจว.