ยังเป็นเรื่องบานปลาย และหลากหลายความเห็น ปมข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา หลังทหารไทยเหยียบกับระเบิดในพื้นที่ลาดตระเวนฝั่งไทยแท้ ๆ ที่บริเวณช่องบก จ.อุบลฯ แล้วมีข้อพิสูจน์ได้ว่า เป็นระเบิดชนิด PMN-2 ซึ่งเป็นระเบิดสังหารบุคคล เป็นทุ่นระเบิดสังหารแบบอยู่กับที่ มีชนวนระเบิดในตัว และทำงานด้วยน้ำหนักกดทับ
โดยมีเป้าหมายที่ฝ่าเท้าของผู้เหยียบ ผลิตจากประเทศรัสเซีย กองทัพบกของไทยไม่มีระเบิดชนิดนี้อยู่ในสาระบบ และไม่เคยใช้ในมาก่อน
ส่อเค้าเป็นระเบิดที่ถูกนำมาวางโดยฝ่ายตรงข้าม คือ ทหารกัมพูชา ที่ลักลอบเข้ามาวางแบบหวังผล เพราะทหารไทยตรวจพบว่า มีไม่ต่ำกว่า 8 ลูก เท่ากับเป็นการลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ผิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างชัดเจน
ซึ่งเป็นเรื่องที่นายทหารด้านความมั่นคง อย่าง “เสธ.โหน่ง” พล.ท.พงศกร รอดชมภู อดีตรองเลขาธิการ สมช. ชี้ว่า ต้องเป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยต้องยื่นเรื่องร้องไปยังสหประชาชาติ ตั้งแต่วันเรื่องที่เกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิด เพื่อแจ้งกับชาวโลกให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากการสื่อสารกลับเป็นไปอย่างล่าช้า
อนุสัญญาออตตาว่า เป็นข้อตกลงว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต โอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ค.ศ.1997 หรือ พ.ศ.2540 ที่ประเทศแคนาดา มีชื่อเรียกสั้นๆ ว่าอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิด มีเป้าหมายเพื่อขจัดทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (APL) ทั่วโลก ซึ่งข้อมูลอัพเดทเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.2025 หรือ พ.ศ.2568 มี 165 รัฐที่ให้สัตยาบันหรือเข้าร่วมสนธิสัญญาดังกล่าว
แม้ประเทศมหาอำนาจ ซึ่งเคยเป็นผู้ผลิตทุ่นระเบิดในอดีตและปัจจุบัน จะไม่ใช่ภาคีของสนธิสัญญานี้ รวมทั้งสหรัฐฯ จีน และรัสเซีย แต่ทั้งไทยและกัมพูชา ล้วนร่วมลงนามในอนุสัญญาฉบับนี้ ทั้งคู่
จึงได้เห็นกัมพูชาออกโรงมาเคลื่อนไหว ทั้งกล่าวหาและตอบโต้เรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ถ้อยแถลงปฏิเสธ โดยสำนักงานปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติกัมพูชา หรือ CMAA ที่กล่าวหาทหารไทยเป็นผู้ฝังกับระเบิดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเอง
หรือโฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ที่แถลงผ่านเพจเฟซบุ๊กกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ระบุว่า ทหารไทยเหยียบกับระเบิดในพื้นที่ ในเขตจังหวัดพระวิหารของกัมพูชา สะท้อนนัย กล่าวหาทหารไทยเป็นคนบุกรุกพื้นที่กัมพูชา และเหยียบกับระเบิดที่ฝังไว้เอง
แต่ดูจะเป็นข้อมูลที่ย้อนแย้งกับข้อเท็จจริง จากการแถลงตอบโต้ของ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ที่ระบุชัดว่า ทุ่นระเบิดที่ตรวจพบ ทหารไทยไม่เคยมีในครอบครอง ทั้งภาพถ่ายและคลิปวิดีโอที่เผยแพร่โดยสื่อ Fresh News ของกัมพูชา ที่อ้างว่า เป็นหลักฐานการวางระเบิดของทหารไทยนั้น ตรวจสอบแล้วพบว่า เป็นภาพจากภารกิจของศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม (T-MAC) ในช่วงการฝึกเก็บกู้
การเร่งรีบปฏิเสธและกล่าวหาไทยของกัมพูชา ปรากฏชัดในถ้อยแถลงสำนักงานปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติกัมพูชา หรือ CMAA เมื่อ 19 ก.ค.2568 ในข้อ 4 ระบุ กัมพูชาเป็นรัฐภาคีของอนุสัญญาออตตาวา และได้ปฏิบัติตามอนุสัญญาอย่างเคร่งครัด จนเป็นที่ยอมรับจากนานาชาติ จนได้รับเลือกเป็นประธานและเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐภาคี ครั้งที่ 11 ของอนุสัญญาออตตาวา ปี 2567 หรือ การประชุมสุดยอดเสียมราฐ-นครวัด ว่าด้วยโลกที่ปราศจากทุ่นระเบิด
นอกจากนี้ ในข้อ 3 ยังได้อ้างถึงสมเด็จฮุน เซน และเป็นบิดาแห่งสันติภาพสำหรับชนชาติเขมรทั้งมวล รวมถึงสมเด็จฮุน มาเนต นายกฯ ว่า ได้ยึดมั่นในสันติภาพ และมุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมในการบรรลุวิสัยทัศน์ของโลกที่ปราศจากทุ่นระเบิด เพื่อให้มั่นใจว่าคนรุ่นหลังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและมีศักดิ์ศรี
แต่กระนั้น ปัญหาพิพาทและความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า สมเด็จฮุน เซน กลับเป็นบุคคลที่มีบทบาทสูง และมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ทำให้สถานการณ์ขยายผลบานปลายตึงเครียดไม่จบไม่สิ้น สะท้อนให้เห็นว่าเป็นผู้มีบารมีและอำนาจตัวจริงของกัมพูชา
ไม่ใช่เฉพาะคอยเติมเชื้อไฟให้ปะทุ โดยการจุดกระแสชาตินิยมหวังให้คนกัมพูชาเชื่อว่า ความเดือดร้อนทุกข์ยากที่เกิดขึ้นขณะนี้มาจากรัฐบาลไทยแล้ว สมเด็จฮุน เซน ยังมีเป้าหมายดิสเครดิตรัฐบาลไทย ที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่เคยเป็น “หลานรัก” และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตเพื่อนซี้ ที่มีความสัมพันธ์แนบแน่นมายาวนานกว่า 30 ปี ตั้งแต่สมัยพ่อจนตกทอดถึงสมัยของลูก
จึงเป็นเรื่องที่น่าสงสัย สำหรับตระกูลชินวัตรกับตระกูลฮุน ที่เป็นตระกูลใหญ่และเปี่ยมอำนาจบารมีของทั้ง 2 ประเทศ ความสัมพันธ์พลันขาดสะบั้นลง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่สมัยนายทักษิณลี้ภัย ก็เคยเดินทางไปร่วมงานคล้ายวันเกิดสมเด็จฮุน เซน ที่กัมพูชา และสมเด็จฮุน เซน เป็นแขกวีไอพีคนแรกที่ไปเยี่ยมนายทักษิณ ที่พักโทษออกจากชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ไปอยู่บ้านจันทร์ส่องหล้าเป็นคนแรก
ก่อนที่ น.ส.แพทองธาร จะนำคณะบินไปพบปะเยี่ยมเยียน 2 พ่อลูกตระกูลฮุน ถึง 2 ครั้ง ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และครั้งที่ 2 ในฐานะนายกฯ ของไทย ก่อนที่จู่ ๆ สายในสัมพันธ์กลับพลิกผันแทบจะกลายเป็นศัตรูประเภท “ไม่เผาผี”
ทั้งนายทักษิณ และสมเด็จฮุน เซน ไม่เคยแพร่งพราย แจกแจงให้ผู้คนได้หายข้องใจเลยว่า เกิดอะไรที่บาดหมางใจกันของ 2 ตระกูล ที่เคยรักกันปานจะกลืนกินถึงเพียงนี้ ซึ่งต้องเป็นเรื่องใหญ่มาก ๆ
ล่าสุดนายทักษิณซัดใส่ว่า สมเด็จฮุน เซน ว่า เป็นคนไร้จริยธรรมแต่ไหนแต่ไร แต่ทำไมคนไทยกลับเชื่อคำพูด ไปเข้าข้างสมเด็จฮุน เซน แทนที่คนไทยจะรักกัน ก่อนจะถูกสวนกลับจากอีกฝ่ายว่า หากตนไร้จริยธรรมจริง แล้วเหตุใดนานทักษิณต้องมาพึ่งพานานถึง 19 ปี แถมเย้ยกลับ แม้แต่สโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ก็มาจากไอเดียของสมเด็จฮุน เซน
ซึ่งเป็นภาพที่ขัดแย้งสวนทางกับภาพอันดูดดื่มหวานชื่นก่อนหน้านั้นอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะหากรู้ว่าไร้จริยธรรม แล้วเหตุใดยังคบค้าสมาคม แถมเปิดบ้านจันทร์ส่องหล้าต้อนรับการมาเยี่ยมไข้
แต่มองในเชิงบวก ขณะที่กำลังรอลุ้นว่า กรณีทุ่นระเบิดที่ฝ่าฝืนอนุสัญญาออตตาวาอย่างชัดเจนของกัมพูชา ฝ่ายไทยจะเดินหน้าต่ออย่างไร แต่ระหว่างนี้ รอติดตามการแฉลากไส้กันเองของ 2 พ่อใหญ่แห่ง 2 ตระกูลดัง 2 ประเทศ ไปพลาง ๆ ก่อน เผลอ ๆ อาจมีข้อมูลดี ๆ แพลม ๆ ออกมาก็เป็นได้
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : "เขื่อนเจ้าพระยา" เร่งระบายน้ำ รับมวลน้ำเหนือจากพายุวิภา
ทบ.เผยพบทุ่นระเบิดใหม่อีก 2 ทุ่น จ่อเชิญผู้ช่วยทูตทหารรับทราบข้อเท็จจริง
"พล.อ.ณัฐพล" ยันปมทุ่นระเบิดใหม่ หลักฐานชัดฟ้อง "กัมพูชา" ละเมิดออตตาวา