ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

UNSC ถกชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้กัมพูชา “จงใจสร้างเรื่อง” ดึงนานาชาติเข้าร่วม

การเมือง
08:00
5,328
UNSC ถกชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้กัมพูชา “จงใจสร้างเรื่อง” ดึงนานาชาติเข้าร่วม
UNSC นัดประชุมวิกฤตชายแดนไทย-กัมพูชา ผู้เชี่ยวชาญชี้ "จงใจสร้างเรื่อง" ดึงนานาชาติ ไทยต้องเร่ง ตอกย้ำหลักฐาน “หลักมนุษยธรรม”

วันนี้ (25 ก.ค.2568) รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์รายการจับตาสถานการณ์ ไทยพีบีเอส เกี่ยวกับประเด็นความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ UNSC หยิบยกเรื่องนี้เข้าไปเตรียมที่จะหารือ เป็นวาระเร่งด่วนพิเศษ ในคืนวันนี้ (25 ก.ค.2568) ตามเวลาประเทศไทย อันนี้มองว่าจะเป็นความท้าทายหรือจะเป็นแต้มต่อ ที่ทำให้ไทยสามารถที่จะไปอธิบายให้กับประชาคมโลกได้รับทราบมากยิ่งขึ้น

รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อธิบายว่า เป็นความตั้งใจของ ฮุน มาเนต นายกฯกัมพูชา อยู่แล้ว ที่ต้องการทำให้สถานการณ์ มีความขัดแย้งปะทะทางทหาร เพื่อจะดึงให้สหประชาชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วก็บีบมาในลักษณะที่ว่า ไทยเป็นผู้รุกรานอะไรทำนองนี้

อาจารย์ย้ำว่า ทางการไทยก็ตอบโต้ได้เร็ว สมเหตุสมผล และสำคัญคือกัมพูชาได้ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา อนุสัญญาเจนีวา ทำร้ายพลเรือนผู้เสียชีวิตในประเทศไทย หลักฐานตรงนี้มันบ่งชี้ชัด สื่อจากต่างประเทศหลายสำนักก็ชี้ไปในครรลองทางเดียวกันว่า กัมพูชาเริ่มก่อน และพลเรือนไทยเสียชีวิต

ประเทศไทยมีความชอบธรรมที่จะตอบโต้ ไม่ต้องไปกังวลอะไร เพียงแต่ว่า การตอบโต้ชี้แจงในระดับสหประชาชาติ ไทยก็ต้องทำอย่างต่อเนื่อง มีลำดับเวลา มีข้อมูลหลักฐานที่สำคัญก็คือว่า รมว.ต่างประเทศ ดำรงบทบาทหน้าที่แบบนี้ถือว่าเหมาะสมอยู่ในระดับหนึ่ง แต่เนื่องจากเรื่องนี้ ทางฮุน มาเนต ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นเรื่องเข้ามา

ดังนั้นถ้าทางการไทยจะโต้ ตนมองว่า อย่างน้อย ภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี น่าจะมีจดหมายหรือออกแถลงการณ์เข้าไปด้วย เพื่อให้ศักดิ์ศรีใกล้เคียงกัน ในเรื่องของตำแหน่งผู้บริหารประเทศ

ผู้สื่อข่าวสอบถามต่อว่า ควรจะต้องมีคำพูดที่ออกมาจากระดับผู้นำของไทย เพื่อเป็นการตอกย้ำแบบนั้นหรือไม่ ถึงจะขยายผลไปให้มีน้ำหนักกับเรื่องนี้

ดร.ดุลยภาค กล่าวว่า ใช่ คือแม้ว่าจะมีรักษาการนายกรัฐมนตรี แต่ว่ารักษาการสามารถจะทำเช่นนั้นได้ ซึ่งก็เป็นกระบวนการที่อาศัยความร่วมมือ ระหว่างทำเนียบรัฐบาลกับกระทรวงการต่างประเทศทำได้แล้ว ส่วนทางกองทัพบกของไทย เรียกผู้ช่วยทูตทหารบก เข้ามาชี้แจง แต่ก่อนหน้านี้ก็ทำมาอยู่แล้ว ออกแถลงการณ์ในส่วนของกองทัพไปก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในแถลงการณ์ที่ควรจะส่งไป ควรจะต้องมีคีย์เวิร์ด (Key Word) อะไรสำคัญที่เน้นย้ำให้เห็นถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยหรือไม่

ดร.ดุลยภาค กล่าวว่า

คีย์เวิร์ดสำคัญหลัก คือ “การขัดต่อหลักมนุษยธรรม” เนื่องจากการกระทำของกัมพูชา ทำให้พลเรือนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ด้วยการใช้อาวุธหนักที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง คือ จรวด BM-21 และที่สำคัญคือ ไทยไม่ควรจะไปอ้างถึงเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างเดียว แต่เราย้อนไปในเหตุการณ์ ปี 2554 กัมพูชายิง BM-21 เข้ามาเป็นห่าฝน แล้วก็ไม่เว้นเป้าหมายพลเรือนด้วยเช่นกัน

ดังนั้นการกระทำของกัมพูชา 10 กว่าปีที่ผ่านมา คุณก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แล้วการกระทำ 10 กว่าปีที่ผ่านมานั้น จึงสมควรที่ประเทศไทยจะนำหลักฐานในปี 2554 เข้ามาขยายผลถึงพฤติกรรมที่เลวร้ายของกัมพูชา

ผู้สื่อข่าวสอบถาม แต่ว่าการเมืองใน UNSC เองก็มีด้วยเหมือนกัน คือแต่ละประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่เป็นคณะมนตรีถาวรที่อยู่ในนั้น 5 ประเทศ บางส่วนมาไล่ดูกันด้วยเหมือนกันว่าประเทศนี้อาจจะถือหางประเทศใดอยู่ด้วยหรือไม่ อันนี้มันเป็นสิ่งที่เราต้องหยิบยกมาพิจารณาแล้วไปคุยกันหลังบ้านให้มากด้วยขึ้นด้วยหรือไม่

ดร.ดุลยภาค อธิบายว่า อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าเป็นดุลอำนาจในการต่อรอง ก็มีอยู่ 5 ประเทศหลัก ๆ ซึ่งอย่างน้อยประเทศที่เราอาจจะกังวลก็คือประเทศจีน ซึ่งหลายคนก็บอกว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับระบอบ ฮุนเซน และ ฮุน มาเนต มาหลายปีแล้ว

แต่จีนกลับแถลงการณ์ในลักษณะที่เป็นกลาง ไม่เอนข้างฝ่ายใดมาก แล้วเทียบน้ำหนักในทางภูมิรัฐศาสตร์แล้ว แม้ว่าจีนจะเข้าไปลงทุนในกัมพูชาหลายมิติ แต่ว่าไทยเป็นประเทศใหญ่กว่า มี Value ในทาง Geopolitics ที่มากอยู่ จีนก็มีความสัมพันธ์กับไทยด้วยเหมือนกัน

ดังนั้นก็คงจะไม่น่าจะกังวลอะไร ทีนี้ว่าจะไปไล่ดูประเทศอื่น ๆ ก็ลองวิเคราะห์กันไป อาจารย์คิดว่า 4 ประเทศที่ผ่านมา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย หรือสหรัฐอเมริกา ก็ยังไม่มีท่าทีชัดเจนในการเข้าข้างกัมพูชา

ผู้สื่อข่าวสอบถามว่าอย่างแถลงการณ์ที่ออกมาจากนานาชาติหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะประเทศสำคัญอย่างที่อาจารย์ยกตัวอย่างถึง “จีน” หรือแม้แต่ “สหรัฐอเมริกา” ที่ออกมาถ้อยความถ้อยแถลง ดูแล้วไทยพอจะมีแต้มต่อมากน้อยแค่ไหน

รศ.ดร.ดุลยภาค ระบุว่า ถ้อยแถลง คือ ให้สองฝ่ายยุติการสู้รบกันโดยเร็ว แล้วก็น่าเจรจาเข้าหากัน เป็นถ้อยแถลงที่เป็นกลางแล้ว เป็นเชิงบวกต่อสันติภาพโดยรวม แต่ว่าหน้างานเป็นการรบทัพจับศึก เป็นการที่ประเทศไทยจะต้องปกป้องอธิปไตย ซึ่งไม่สามารถตอบได้ว่า มันจะจบลงเมื่อไหร่

แล้วสำหรับกลไกของสหประชาชาติหรืออื่น ๆ ตอบไม่ได้ว่าจะเข้ามายุติสถานการณ์ได้อย่างในเร็ววัน แต่ถ้าเอาแบบแฟร์ ๆ ไทยน่าจะเน้นว่า “อนุสัญญาออตตาวา” เรื่องทุ่นระเบิดหรือการที่กัมพูชาโจมตีโรงพยาบาล ผิดอนุสัญญาอะไร ขัดต่อหลักมนุษยธรรมอย่างไรบ้าง ไทยชี้แจงตรงนี้ให้ชัดเจน เอาจริง ๆ บอกให้สหประชาชาติ คือยังไม่ต้องถึงขั้นอะไรหรอก “ตั้งกรรมการขึ้นมาสืบสวนข้อเท็จจริง” ว่า กัมพูชายิงก่อนแล้วก็ทำลายโรงพยาบาลของไทยจริงไหมแค่นั้น อาจารย์คิดว่า เราก็อาจจะมีกลไกแบบนี้ที่น่าจะทำได้

ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า ขณะเดียวกันมีการจับตามอง ถึงบทบาทขององค์กร ที่ใกล้ชิดกับไทยมากที่สุด กับกัมพูชามากที่สุดอย่างอาเซียน อาจารย์มองบทบาทของอาเซียน ณ ขณะนี้อย่างไรบ้าง หลังจากที่ได้เห็นภาพของ นายกฯ อันวาร์ อิบราฮิม ประเทศมาเลเซีย ตอนนี้เป็นประธานอาเซียนอยู่ มีความพยายามที่จะคุยกับทั้ง 2 ประเทศ มีโอกาสที่อาเซียนจะเข้ามาเป็นตัวกลางในเรื่องนี้ได้มากน้อยแค่ไหน

ดร.ดุลยภาค ระบุว่า มีโอกาส ไม่ว่าจะเป็นมาเลเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียนเข้ามาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย อินโดนีเซีย หรือว่าประเทศอื่น ๆ อะไรทำนองนี้ แต่คงจะยังไม่ใช้เวลานี้ ที่สำคัญก็คือว่า อาเซียนไม่ได้มีมาตรการมาบังคับใช้กฎหมายในภูมิภาค หรือมาลงโทษรัฐผู้พิพาทอะไรต่าง ๆ ก็จะเป็นใช้วิธีเอาคนกลางเข้ามาไกล่เกลี่ย บนพื้นฐานของสันติวิธีประนีประนอม จะเป็นหลักการแบบนั้นมากกว่า

คือ อย่าว่าแต่อาเซียน แม้แต่จีนก็เสนอตัวเหมือนกัน ที่จะเข้ามาเป็นคนกลาง แต่จีนไม่ได้เป็นสมาชิกอาเซียน มีหลายประเทศที่ให้ความสนใจตรงนี้อยู่ แต่ว่าหลักสำคัญที่สุดก็คือ “หลักทวิภาคี” ระหว่างไทยกับกัมพูชา ว่าจะยุติกันได้โดยเร็ว แล้วนำมาสู่ความสงบในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ยังไงก็อยู่ที่ 2 ประเทศนี้เป็นหลักมากกว่า

ผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องถึงจุดไหน อย่างเช่นในกรณีที่ไทยกับกัมพูชา จะมีโอกาสที่หันมาเจรจาในระดับทวิภาคีกันเองด้วยสันติ ในเมื่อสถานการณ์มันขยับมาจนถึงจุดของการสู้รบในตอนนี้

ดร.ดุลยภาค มองว่า อยู่ที่ทหารไทย ว่าจะโจมตีเป้าหมายของทางฝั่งนู้น เพื่อสร้างความสูญเสียทางกำลังรบ จนกัมพูชาเห็นว่า สู้ต่อคงจะไม่ดีก็เป็นฝ่ายร้องขอให้มีการเจรจา แล้วมันก็จะมาสู่วิวัฒนาการตามธรรมชาติของสันติภาพในระดับทวิภาคี

เรามี MOU 43 MOU 44 ตามปี พ.ศ. แต่พอปี 2554 ไทยกับกัมพูชารบกัน กัมพูชายิงจรวด BM-21 ใส่เข้าไทย ไทยสวนกลับด้วยปืนใหญ่ซีซ่าร์ จนกัมพูชาเสียกำลังรบแล้วร้องขอเจรจา แล้วหลังจากนั้นมา MOU เหล่านั้น เช่น MOU 43 ก็ยังเป็นกรอบปฏิบัติ จนกระทั่งถึงสถานการณ์เร็ว ๆ หรือในทุกวันนี้อยู่

นั่นแสดงว่ามีสถานการณ์การสู้รบไม่ได้หมายความว่าความสัมพันธ์ทวิภาคี หรือกลไกที่มีอยู่จะหายไปเลย กลับมาใหม่ได้เหมือนกัน หรือว่ายังคงอยู่แล้วก็ต่อไปอีกทีตามจังหวะที่เหมาะสม

เรียบเรียง : ศศิมาภรณ์ สุขประสิทธิ์ นักศึกษาโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


อ่านข่าว : 
UNSC นัดประชุมฉุกเฉินปมขัดแย้งไทย-กัมพูชา
โต้กัมพูชา ศบ.ทก.ยืนยันไทยไม่ได้ยิงโดน "ปราสาทพระวิหาร"