กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law: IHL) หรือที่เรียกว่ากฎหมายสงคราม เป็นกฎหมายที่ควบคุมวิธีการทำสงครามและการปฏิบัติต่อพลรบและพลเรือนอย่างมีมนุษยธรรม ตามข้อมูลจากกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศไทย IHL มีหลักการพื้นฐาน 5 ประการ ได้แก่
- การแบ่งแยกพลรบกับพลเรือน (Principle of Distinction)
- ความได้สัดส่วน (Proportionality)
- การเตือนภัยก่อนโจมตี (Precaution)
- ความจำเป็นทางทหาร (Military Necessity)
- หลักมนุษยธรรม (Humanity)
หลักการเหล่านี้มุ่งจำกัดความรุนแรงในสงครามและปกป้องบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบ รวมถึงสถานที่ที่ให้การช่วยเหลือ เช่น โรงพยาบาล
อนุสัญญาเจนีวา ค.ศ.1949 ทั้ง 4 ฉบับ อยู่ภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2492 ประกอบด้วย
- อนุสัญญาเพื่อให้ผู้บาดเจ็บและป่วยไข้ในกองทัพในสนามรบมีสภาวะดีขึ้น
- อนุสัญญาเพื่อให้ผู้บาดเจ็บ ป่วยไข้ และเรืออับปางในกองทัพขณะอยู่ในทะเลมีสภาวะดีขึ้น
- อนุสัญญาเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อเชลยศึก
- อนุสัญญาเกี่ยวกับการคุ้มครองบุคคลพลเรือนในเวลาสงคราม
นอกจากนี้ ข้อมูลจากคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ หรือ ICRC (International Committee of the Red Cross) ยังระบุว่า พิธีสารเพิ่มเติม ค.ศ.1977 (Protocol I และ II) ขยายการคุ้มครองไปยังผู้ประสบภัยจากข้อพิพาทระหว่างประเทศและภายในประเทศ อนุสัญญาเจนีวาเน้นย้ำว่า พลเรือน บุคลากรทางการแพทย์ ผู้บาดเจ็บ เชลยศึก และสถานพยาบาลทั้งประจำและเคลื่อนที่ต้องได้รับการปกป้องและห้ามโจมตีโดยเด็ดขาด ไม่ว่าสถานการณ์ใด
โรงพยาบาลเป็นสถานที่สำคัญสำหรับรักษาพยาบาลทั้งทหารและพลเรือน โดยไม่เลือกปฏิบัติตามสัญชาติหรือฝ่าย ซึ่งสะท้อนหลักมนุษยธรรมที่เป็นหัวใจของ IHL
เหตุใดโรงพยาบาลต้องเป็นเขตปลอดภัย ?
โรงพยาบาลและหน่วยแพทย์ได้รับการคุ้มครองภายใต้ IHL เพราะเป็นสถานที่ให้การรักษาผู้บาดเจ็บและป่วย โดยไม่คำนึงถึงฝ่ายหรือสัญชาติ ตามอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 1 และ 4 รวมถึงพิธีสารเพิ่มเติม ค.ศ.1977 การโจมตีโรงพยาบาลโดยเจตนาถือเป็นการละเมิดร้ายแรง ตามมาตรา 85(3) ของพิธีสารเพิ่มเติมฉบับที่ 1 ซึ่งจัดเป็นอาชญากรรมสงคราม หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นการโจมตีโดยเจตนา
การโจมตีสถานพยาบาลจะทำให้ผู้บาดเจ็บขาดการรักษา ซึ่งขัดต่อหลักมนุษยธรรมและเพิ่มความสูญเสียโดยไม่จำเป็น ตาม ICRC การโจมตีดังกล่าวไม่เพียงทำลายโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังบ่อนทำลายความเชื่อมั่นในระบบมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
กรณีการโจมตี รพ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2568 ระหว่างความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาเจนีวา เนื่องจากมีการยิงโจมตีสถานพยาบาล ส่งผลให้พลเรือน รวมถึงเด็กและสตรี บาดเจ็บและเสียชีวิต การโจมตีดังกล่าวไม่เป็นไปตามข้อยกเว้นที่อนุญาตให้โจมตีได้ (เช่น โรงพยาบาลถูกใช้เป็นฐานทัพและมีการเตือนล่วงหน้า) ทำให้ไทยประณามว่าเป็นกัมพูชาละเมิด IHL และเรียกร้องให้มีการสอบสวนและลงโทษผู้กระทำผิด
การเอาผิดผู้ละเมิดกฎหมายสงคราม
การละเมิด IHL เช่น การโจมตีโรงพยาบาลโดยเจตนา ถือเป็นอาชญากรรมสงครามตามอนุสัญญาเจนีวาและพิธีสารเพิ่มเติม ตาม ICRC รัฐผู้รับผิดชอบต้องชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น ส่วนบุคคลที่กระทำผิดต้องถูกสอบสวนและดำเนินคดี การเอาผิดสามารถทำได้ผ่าน
ระบบกฎหมายภายในประเทศ รัฐสามารถใช้กฎหมายภายใน เช่น พ.ร.บ.กาชาด 2499 ของไทย หรือดำเนินคดีตามหลัก universal jurisdiction ซึ่งอนุญาตให้ดำเนินคดีกับอาชญากรรมสงครามได้แม้เกิดนอกประเทศ
กลไกทางการทูต รัฐสามารถเจรจาหรือใช้ช่องทางระหว่างประเทศเพื่อเรียกร้องความรับผิดชอบ
ศาลระหว่างประเทศ อาชญากรรมสงครามอาจถูกส่งต่อไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ตาม Rome Statute ซึ่งครอบคลุมการละเมิดร้ายแรง เช่น การโจมตีสถานพยาบาล
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ สามารถบังคับให้รัฐปฏิบัติตาม IHL หรือจัดตั้งศาลพิเศษเพื่อสอบสวน
ในกรณีชายแดนไทย-กัมพูชา การโจมตีพลเรือนและสถานพยาบาลตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.2568 ไทยเรียกร้องให้มีการสอบสวนและลงโทษผู้กระทำผิดตาม IHL โดยอาจผ่านการเจรจาทางการทูตหรือกลไกสหประชาชาติ อย่างไรก็ตาม การเอาผิดอาจเผชิญความท้าทาย เช่น การพิสูจน์เจตนาของผู้โจมตี หรือการขาดความร่วมมือจากรัฐที่เกี่ยวข้อง การบังคับใช้ IHL จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาคมโลกเพื่อให้เกิดความยุติธรรมและป้องกันการละเมิดซ้ำ
ที่มา : กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศไทย, "กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ" , ICRC, "The Geneva Conventions and their Additional Protocols"
อ่านข่าวอื่น :
รอบแฟซิฟิก ลดระดับเตือนภัยสึนามิ เหตุแผ่นดินไหว 8.8 คัมชัตกา
รพ.สรรพสิทธิประสงค์ ประกาศงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา ถึง 10 ส.ค.