ในรายการ "ตอบโจทย์" ทาง Thai PBS นายสุภลักษณ์ กาญจนขุนดี ที่ปรึกษากรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร และสื่อมวลชนอาวุโส ได้ยกตัวอย่างการปกครองของสมเด็จฮุน เซน ว่าเป็นแบบ "รัฐสมบัติส่วนตัว" (Patrimonial State) โดยอธิบายว่ากัมพูชาเป็นรัฐที่ผู้นำถือว่าเป็นสมบัติส่วนตัว สามารถทำอะไรก็ได้ในประเทศตามอำเภอใจ ตั้งหรือปลดใครก็ได้
แนวคิดนี้ยังสอดคล้องกับบทความของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ซึ่งอธิบายว่า "รัฐสมบัติส่วนตัว" คือรัฐที่ครอบครัวหรือตระกูลใดตระกูลหนึ่งเป็นเจ้าของ เมื่อผู้ปกครองพ้นตำแหน่ง ก็ส่งมอบให้สมาชิกในตระกูลขึ้นดำรงตำแหน่งต่อ ทำให้ตำแหน่งและรัฐนั้นเปรียบเสมือน "ทรัพย์สมบัติ" หรือ "มรดก" ของตระกูล ที่สามารถส่งต่อให้ทายาทได้
อำนาจรัฐ + เรื่องส่วนตัว = รัฐสมบัติส่วนตัว
"รัฐสมบัติส่วนตัว" (Patrimonial State) เป็นแนวคิดสำคัญที่ช่วยอธิบายรูปแบบการปกครองที่ผู้นำบริหารจัดการอำนาจรัฐราวกับเป็นทรัพย์สินส่วนตัวหรือมรดกตกทอดของตนเองหรือตระกูล แนวคิดนี้มีรากฐานมาจากงานศึกษาของ แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ผู้ให้นิยาม "Patrimonialism" ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการครอบงำแบบจารีตประเพณี ซึ่งอำนาจของผู้ปกครองได้รับการยอมรับจากความศักดิ์สิทธิ์ของกฎเกณฑ์และขนบธรรมเนียมที่สืบทอดมาแต่โบราณ และการปกครองจะตั้งอยู่บนความจงรักภักดีส่วนบุคคล
ในบทความ Understanding Patrimonialism in Politics เขียนว่า ในรัฐสมบัติส่วนตัว เส้นแบ่งระหว่างเรื่องส่วนตัวและเรื่องสาธารณะจะพร่าเลือน ผลประโยชน์ส่วนตนและทรัพย์สินส่วนตัวของผู้นำจะแยกไม่ออกจากผลประโยชน์และสินทรัพย์ของรัฐ ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดรัฐสมัยใหม่ที่พยายามแบ่งแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องสาธารณะ โดยกำหนดให้ "รัฐ" เป็นนิติบุคคลที่แยกออกจาก "คน" และกำหนดให้มี "ตำแหน่ง" ในการใช้อำนาจรัฐ ซึ่งได้มาด้วยกระบวนการ ไม่ใช่การสืบทอดเป็นมรดก

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
ลักษณะสำคัญของระบอบรัฐสมบัติส่วนตัว
- อำนาจส่วนบุคคล (Personalized Power)
ผู้นำมีอำนาจสูงสุด การตัดสินใจของพวกเขาจะไม่ถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์หรือสถาบันที่เป็นทางการ ความชอบธรรมของผู้นำไม่ได้มาจากบารมีส่วนตัวหรือวิสัยทัศน์ แต่มาจากความสามารถในการให้รางวัลและลงโทษ
- การขาดความเป็นสถาบัน (Lack of Institutionalization)
สถาบันของรัฐอ่อนแอ หรือมีอยู่เพียงเพื่อเสริมสร้างอำนาจของผู้นำเท่านั้น
- ระบบอุปถัมภ์ (Clientelism)
ผู้นำจะแจกจ่ายผลประโยชน์ ทรัพยากร และการคุ้มครองให้กับผู้ติดตามที่จงรักภักดีเพื่อแลกกับการสนับสนุน
- เครือข่ายผู้อุปถัมภ์ (Patronage Networks)
ความสัมพันธ์ส่วนตัวและเครือข่ายมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอยู่รอดและความก้าวหน้าทางการเมือง
- ความจงรักภักดีต่อตัวบุคคล (Loyalty to the Ruler)
ความภักดีทางการเมืองมักจะมุ่งตรงไปยังผู้นำหรือตัวบุคคล ไม่ใช่ต่อรัฐหรือสถาบัน

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
ผลที่ตามมาคือ สภาพแวดล้อมทางการเมืองที่ทุจริต เล่นพรรคเล่นพวก และการให้พรรคพวกตนเองได้ดี เติบโตอย่างรวดเร็ว ความจงรักภักดีทางการเมืองมุ่งตรงไปยังผู้นำมากกว่ารัฐหรือสถาบัน ทำให้การต่อต้านถูกปราบปราม และพื้นที่สำหรับการแสดงความคิดเห็นของพลเมืองมีจำกัด การแต่งตั้งข้าราชการมักไม่คำนึงถึงหลักความสามารถหรือระบบคุณธรรม ซึ่งนำไปสู่การขาดความเป็นอิสระของเจ้าหน้าที่รัฐ
ระบอบรัฐสมบัติส่วนตัว เป็นบ่อนทำลายการพัฒนาระบบราชการที่แข็งแกร่งและทำให้ศักยภาพของรัฐอ่อนแอลง ผลประโยชน์สาธารณะมักจะตกเป็นเหยื่ออันดับแรก เนื่องจากผู้นำไม่ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ แต่เป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจ ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจที่ไร้หลักเกณฑ์และการปกครองที่ไม่มั่นคง
ในระบบนี้ พื้นที่สำหรับการมีส่วนร่วมทางการเมืองและการแสดงออกของฝ่ายค้านมีจำกัด ประชาชนอาจถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมกระบวนการทางการเมือง เพราะมองว่ามีความเสี่ยงหรือไม่เป็นผล และการเป็นตัวแทนของประชาชนก็มักจะบิดเบือนไปเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ของผู้นำและผู้ภักดีมากกว่าประชาชนทั่วไป
สิ่งนี้สร้างวัฒนธรรมการพึ่งพิง ที่บุคคลและกลุ่มชนพึ่งพิงผู้นำเพื่อผลประโยชน์ แทนที่จะเรียกร้องสิทธิและความรับผิดชอบ
แม้ว่ารัฐสมบัติส่วนตัวอาจอยู่ร่วมกับสถาบันประชาธิปไตยได้ แต่ก็มักจะบ่อนทำลายประสิทธิภาพและความชอบธรรมของสถาบันประชาธิปไตย กองทัพในรัฐลักษณะนี้มักขาดความเป็นมืออาชีพ เกิดการแบ่งแยกกลุ่มย่อยภายใน และมีระดับการคอร์รัปชันสูง ประจักษ์ ก้องกีรติ ชี้ว่ากองทัพที่มองชาติเป็นสมบัติส่วนตัว จะขาดความเป็นสถาบันและมืออาชีพ และนำไปสู่การที่นายพลจำนวนมากมีความร่ำรวยผิดปกติจากการเข้ามายึดกุมอำนาจและแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
ตัวอย่างรัฐสมบัติส่วนตัวในประวัติศาสตร์-ปัจจุบัน
- ยุโรปในยุคศักดินา เป็นตัวอย่างคลาสสิกของระบอบรัฐสมบัติส่วนตัว ที่ขุนนางเป็นเจ้าของที่ดินและชาวนาต้องทำงานแลกกับการคุ้มครอง
- อาณาจักรต่าง ๆ ในแอฟริกาก่อนยุคอาณานิคม มีการจัดระเบียบแบบรัฐสมบัติส่วนตัว โดยกษัตริย์หรือผู้นำควบคุมที่ดิน ทรัพยากร และประชาชน
- จักรวรรดิโมกุล ในอดีตก็ถูกอธิบายว่ามีลักษณะเป็น "จักรวรรดิแบบราชสมบัติ-ราชการ" (Patrimonial-Bureaucratic Empire) ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างรัฐราชสมบัติและรัฐราชการสมัยใหม่
- ละตินอเมริกาช่วงก่อร่างสร้างรัฐ พบว่ามีการใช้แนวคิดเสรีนิยมในบริบทที่ยังคงมีแนวปฏิบัติด้านราชสมบัติแพร่หลาย ซึ่งเรียกว่า "เสรีนิยมแบบราชสมบัติ" (Patrimonial Liberalism)
- รัสเซียภายใต้การนำของวลาดิเมียร์ ปูติน ถูกยกเป็นตัวอย่างหนึ่งของรูปแบบการปกครองที่ผู้นำมองว่ารัฐเป็นทรัพย์สินส่วนตัว
- อินโดนีเซีย โดยเฉพาะในสมัยซูฮาร์โตก็ถูกมองว่ามีลักษณะนี้
- "Trumpism" หรือการปกครองของโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ถูกนักวิชาการ Stephen E. Hanson อธิบายว่าเป็น "รัฐราชสมบัติแบบนีโอ-โบนาปาร์ต" โดยทรัมป์มองว่ารัฐเป็นธุรกิจครอบครัว แจกจ่ายตำแหน่งและผลประโยชน์ให้ผู้ภักดีและเครือญาติ และโจมตีระบบราชการที่ไม่เป็นกลาง

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
ประจักษ์ ก้องกีรติ ยังได้กล่าวว่า ระบอบรัฐสมบัติส่วนตัวนั้นยากที่จะเปลี่ยนแปลง เพราะผู้มีอำนาจมักจะต่อต้านการปฏิรูป การแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องมีการส่งเสริมการพัฒนาระบบสถาบันที่เข้มแข็ง การบังคับใช้กฎหมาย และการสนับสนุนการปฏิรูปประชาธิปไตยและความรับผิดรับชอบ นอกจากนี้ยังต้องฟื้นฟูความน่าเชื่อถือของรัฐในฐานะหน่วยงานที่รับใช้สาธารณะ และ ส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่เข้ามาทำงานในระบบราชการ
รัฐบาลพลเรือนจำเป็นต้องมีเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจนในการปฏิรูปกลุ่มชนชั้นนำที่กุมอำนาจ และมีการเจรจาต่อรองอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อให้หันมารับใช้ชาติและประชาชนอย่างแท้จริง
ที่มาข้อมูล : ปฏิรูปกองทัพ : บทบาท "ทหารไทยจะไปทางไหน" ?, Understanding Patrimonialism in Politics, Patrimonial Liberalism: A Weberian Approach to Early Latin American State-Making, Rethinking Patrimonialism and Neopatrimonialism in Africa, The Patrimonial-Bureaucratic Empire of the Mughals
อ่านข่าวเพิ่ม :