กัมพูชา ถือเป็น รัฐแบบ patrimonial state (รัฐสมบัติ) รัฐที่ผู้นำถือเป็นสมบัติส่วนตัว "เขาจะทำอะไรก็ได้ในประเทศนั้น เขาอยากได้ตำแหน่งอะไรก็ได้" มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการแต่งตั้งและปลดใครก็ได้ตามต้องการ กัมพูชาไม่ใช่ "รัฐ" ในลักษณะทั่วไปมีหลักนิติรัฐ บังคับใช้กฎหมาย

ตำแหน่งของฮุน เซน อย่างเป็นทางการ คือ หัวหน้าพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ประธานวุฒิสภา ประธานองคมนตรี ผู้อำนวยการฝ่ายส่งกำลังบำรุง และปัจจุบันทำหน้าที่เป็นผู้สั่งการ "คอมมานเดอร์" ฮุน เซน บริหารประเทศด้วยตัวเอง ด้วยความคิดที่ว่า กัมพูชาเป็นสมบัติส่วนตัว ดังนั้นจะไปเป็นอะไรก็ได้ในประเทศ จะแจกตำแหน่ง สัมปทานหรือให้ใครทำอะไรตรงไหนก็ได้

ขณะที่ พรรค CPP มีลักษณะเป็นองค์กรที่ควบคุมรัฐ มีรากฐานมาจากระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ กลไกของพรรคจะควบคุมรัฐ ฮุนเซนอาศัย 2 รูปแบบทั้งระบอบเดิม และ พรรคสร้างให้กัมพูชากลายเป็นสมบัติส่วนตัวของเขาและตระกูลของเขาได้ นี่คือภาพของฮุน เซน จากมุมมองของ สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี สื่อมวลชนอาวุโส เพื่อให้เข้าใจประเทศกัมพูชาภายใต้การปกครองของ “ฮุน เซน”
ภาพลักษณ์ของไทยและกัมพูชาในเวทีโลก
โลกจดจำกัมพูชาในฐานะประเทศที่ตกอยู่ในหล่มสงครามนานนับตั้งแต่เป็นเอกราช มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยเขมรแดงและสงครามกลางเมือง ทำให้ภาพลักษณ์เป็นประเทศที่ "บิดเบี้ยว" ในสายตาประชาคมโลก สำหรับประเทศไทย เคยถูกจดจำในฐานะผู้สร้างสันติภาพในกัมพูชาและเป็นต้นแบบประชาธิปไตยและการพัฒนาเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

อย่างไรก็ตาม "เราผิดพลาดสะดุดขาตัวเอง" จากการรัฐประหาร 2 ครั้งในช่วงที่กำลังรุ่งเรือง ทำให้เศรษฐกิจถดถอยและอิทธิพลลดลง ปัจจุบันไทยไม่ใช่ผู้ค้า ผู้ลงทุนอันดับ 1 ในกัมพูชาแล้ว
จุดเริ่มปัญหา ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
ต้นตอปัญหา เริ่มจากปัญหาเขตแดนถูกทิ้งไว้ตั้งแต่สมัยอาณานิคมเป็นร้อยปี
ปราสาทพระวิหาร : คำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ปี 2505) ระบุว่าไทย "เคยยึดครองดินแดนบางส่วนของกัมพูชา รวมทั้งปราสาทพระวิหารเอาไว้ แต่ถึงเวลาที่เราแพ้สงครามเราจะต้องคืนดินแดนให้กัมพูชาไป ปรากฏว่าปราสาทพระวิหารไม่คืน" และศาลสั่งให้ไทย "ถอนทหารลงมาจากปราสาทพระวิหาร" ซึ่งแปลว่า ไทยส่งทหารไปยึดครองไว้

คนไทยมักเข้าใจผิดว่า "เสียดินแดน" แต่ความจริงคือ "เราไม่ได้ดินแดนนั้นต่างหาก" ตามคำพิพากษา การที่โลกมองว่าไทยทะเลาะกับกัมพูชา จึงทำให้ "เข้าใจยาก"
ขณะที่ปราสาททั้ง 3 หลัง อันได้แก่ ปราทสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาเมือนควาย เคยมีการปักปันเขตแดนเรียบร้อยแล้วในสมัยฝรั่งเศส มีหลักเขตแดน และรู้ว่าเส้นเขตแดนอยู่ตรงไหนด้วยซ้ำไป มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ เพียงแต่ว่า “เราไม่ยอมรับ เราไม่รับได้" การนำแนวคิดรัฐสมัยใหม่มาใช้กับการจัดการสิ่งปลูกสร้างโบราณที่สร้างขึ้นโดยไม่คำนึงถึงเขตแดนในสมัยนั้นเป็นเรื่องยาก ความเชื่อแบบเก่าที่ว่า "กัมพูชาเคยเป็นประเทศราชของไทย" ทำให้ไทยไม่สามารถก้าวข้ามความคิดแบบนี้ได้และจัดการรัฐสมัยใหม่ด้วยความยากลำบากและอิหลักอิเหลื่อ
ดังนั้น ทางออกสำหรับปัญหาเขตแดน คือ การแบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ หากไม่สามารถแบ่งขาดได้อาจเป็นพื้นที่พัฒนาร่วม ใช้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น
• การแบ่งเส้นตามกฎหมาย เช่นกรณีเนเธอร์แลนด์-เบลเยียม ที่ยอมรับเส้นเขตแดนตามกฎหมาย แม้บ้านหรือร้านกาแฟจะอยู่คนละประเทศ

• "No-man's land" คือ ถอยทหารออกมาเพื่อลดการเผชิญหน้าและลดความสูญเสียพลเรือน " ให้มันสงบลงก่อน ให้เราสามารถอยู่กันก่อน"
• ให้เวลาช่วยคลี่คลาย รักษาช่องทางการประชุมร่วมกันไว้ แม้จะยังไม่สำเร็จในครั้งแรก (เช่น กรณีบ้านร่มเกล้ากับ 3 หมู่บ้านไทย-ลาว ที่ยังตกลงไม่ได้แต่ก็อยู่กันได้) "อาจจะกินเวลาสักเดือนนึงกว่าที่เราจะลดดีกรีความร้อนแรงของการปะทะลงได้"

ขณะที่ ปัญหาการประสานงานและการกำหนดนโยบายของไทย หน่วยงานหรือ 3 เสาหลักที่ต้องทำงานประสานกัน ดำเนินการให้ชัดเจน ได้แก่ 1. รัฐบาล ซึ่งทำหน้าที่กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์, 2. กระทรวงการต่างประเทศ ทำหน้าที่ด้านการทูตและการสื่อสารกับนานาชาติ และ 3. ทหาร ทำหน้าที่รักษาความมั่นคงและความสงบในพื้นที่ ทำให้ปลอดภัย มีเสถียรภาพ
ปัญหาของไทยเริ่มต้นจากการเมืองภายในประเทศ "การเมืองของเราที่มีปัญหา" เช่น คลิปเสียงที่ทำให้นายกฯถูกพักงาน, กระทรวงกลาโหมไม่มีรัฐมนตรีว่าการ เป็นต้น เมื่อการเมืองมันไม่ชัดเจน นโยบายไม่ชัดเจน ยุทธศาสตร์ไม่ชัดเจน การสื่อสารกับนานาชาติก็จะ มีปัญหา ในวันแรกที่เกิดการปะทะเราจะเล่าเรื่องอะไร ?

การสื่อสารระหว่างรัฐบาลกับกองทัพไม่ชัดเจน ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ คำอธิบายของรัฐบาลกับคำอธิบายของกองทัพมันไม่ได้ระดับกันเลย" เช่น กรณีคูเลต ขุดตั้งแต่เมื่อไหร่ ใครเป็นคนขุด ทำไมถึงไม่รายงานรัฐบาล เพื่อที่รัฐบาลจะได้ประท้วงไปยังพนมเปญ เพราะขัด MOU 43 หรือ ปราสาทตรีมุข ใครเป็นคนเผา หรือไฟไหม้เอง รัฐบาลไม่มีคำตอบตั้งแต่ต้น
ชี้ไทยละเลยกลไกทวิภาคี
นอกจากนี้ รัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับการตั้งประธาน JBC (Joint Boundary Committee) และ GBC (General Boundary Committee) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการจัดการปัญหาชายแดน และใช้กลไกผิดวัตถุประสงค์ การหยิบยก JBC ขึ้นมาคุยในช่วงที่มีการปะทะกัน ทั้ง ๆ ที่ JBC เป็นเรื่องเทคนิคการปักปันเขตแดน

ดังนั้น ระหว่างการปะทะกันจะคุยเรื่องการปักปันเขตแดนได้อย่างไร จะต้องยก GBC ก่อน จะมาคุยเรื่องสถานการณ์ชายแดนเป็นอย่างไร GBC เป็นเรื่องการดูแลทหารและความมั่นคง "แค่หยิบกลไกขึ้นมา ก็หยิบผิดแล้ว" ทำให้กองทัพรับภาระหนักเนื่องจากรัฐบาลขาดการนำที่ชัดเจน ทหารจึงต้องรับบทบาทหนักในการจัดการสถานการณ์ "สภาพแบบนี้ไม่โอเค"
การสื่อสารของประเทศไทย มีปัญหา
การประกาศยึด 11 จุด รวมถึงมีคำว่า "พระวิหาร" อยู่ใน 11 จุดสร้างปัญหาทางยุทธศาสตร์และการทูต เพราะพระวิหารเป็นของกัมพูชาตามคำตัดสินศาลโลก ขณะที่พื้นที่ใกล้ ๆ บริเวณนั้น ภูมะเขือ ผามออีแดง ประสาทโดนตวล ไม่ใช่พื้นที่ที่เรียกว่าพระวิหาร "กองทัพอาจจะไม่ได้ตระหนักเรื่องนี้ ซึ่งมันมีนัยสำคัญในทางการทูต"

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี สื่อมวลชนอาวุโส
สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี สื่อมวลชนอาวุโส
ผู้ที่ควรสื่อสารเรื่องนี้ควรเป็นกระทรวงต่างประเทศ แต่ไม่ได้สื่อสาร จึงเป็นปัญหาเมื่อการปฎิบัติการขึ้นอยู่กับทหารและควบคุมเรื่องราวที่เกิดขึ้น เป็นการอธิบายจากมุมมองทางทหาร แต่รัฐบาลจะต้องมองกว้างกว่านั้น ทหารมีหน้าที่ทางยุทธวิธี เมื่อดำเนินการเสร็จแล้ว ต้องรายงานมายังรัฐบาล แล้วรัฐบาล หรือ ยุทธศาสตร์ จะเลือกว่าจะเล่าเรื่องแบบไหน ข้อต่อตรงไหนที่ขาดไป

ทำให้มองเห็นได้ชัดว่า ในมุมยุทธศาสตร์ “ประเทศไทยแพ้” เนื่องจากคนกำหนดยุทธศาสตร์ ไม่อยู่ในสภาพที่จะเป็นผู้กำหนด ก็เลยคุมสภาพไม่ได้ เช่น เมื่อตกลงหยุดยิงแล้ว ถ้ารัฐบาลเข้มแข็ง หยุดยิง คือ หยุดยิง ถ้าฝ่ายไหนเริ่มก่อนให้บันทึกไว้ และไปหาวิธีการพิสูจน์ว่าใครเป็นคนยิงก่อน บุกขึ้นมาก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้เตรียมตั้งแต่ต้น
รัฐไทยขาดเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน
นอกจากนี้ ไทยยังไม่สามารถกำหนดเป้าหมายได้ว่า "จะทะเลาะกับกัมพูชาคราวนี้เพื่ออะไร" ตอนแรกเราบอกว่า เรามีปัญหาเรื่องเขตแดน ปะทะกันที่ช่องบก จากนั้นสักพัก “ปิดด่าน” จะแก้ไขปัญหาคอลเซ็นเตอร์ รัฐบาลไม่สามารถตามเกมกัมพูชาได้ ฮุน เซนมีประสบการณ์ทางการเมืองและการทหารสูงมาก "ความโชกโชน ความเขี้ยว ความเจ้าเล่ห์" ทำให้ไทยที่ไม่มีผู้นำที่มีอำนาจและวิสัยทัศน์ชัดเจนแบบนั้น ไม่สามารถรับมือได้ทันท่วงที

ขณะที่สถานการณ์ปัจจุบัน รัฐบาลควรรีบรวบรวมสรรพกำลังควบคุมสถานการณ์ให้ได้จริง ๆ ก่อน แต่ปัญหาการเมืองภายในของประเทศกำลังเล่นกันอย่างกระจัดกระจาย เราต้องรอ Commander in chief หรือ “ผู้กำหนดนโยบายระดับยุทธศาสตร์” ก็คือผู้ที่ตัดสินใจสูงสุดในระดับยุทธศาสตร์ของบ้านเรา ซึ่งขณะนี้ "เราไม่มี" ต้องรอให้ระบบการเมืองภายในของไทยแก้ไขตัวเองได้ก่อน

กองทัพต้องรับภาระเป็นหน้าด่าน ขณะนี้ทุกคนมอบให้กองทัพ โดยเน้นการรักษาเสถียรภาพและลดการเผชิญหน้าทางทหารให้ดีที่สุด จะทำอย่างไรให้เราสามารถอยู่ในสภาพที่มีเสถียรภาพพอสมควร เพื่อให้ระบบการเมืองของเราแก้ปัญหาตัวเองก่อน ลดการเผชิญหน้า ถอยบ้างเป็นบางจังหวะ ให้ความสำคัญกับประชาชนชายแดน ประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดน ตอนนี้อยู่ในอาการอกสั่นขวัญแขวน ต้องทำให้สถานการณ์สงบลงให้ได้มากที่สุด
จากรายการ “ตอบโจทย์ เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2025
ผู้ร่วมรายการ สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี สื่อมวลชนอาวุโส
ผู้ดำเนินรายการ อภิรักษ์ หาญพิชิตวณิชย์
อ่านข่าว : เลขาฯ ฝ่ายไทย-กัมพูชา สรุปกรอบ GBC ส่ง สมช.เคาะบ่ายนี้ ก่อนประชุมวงใหญ่
มทภ. 2 ยืนยัน ทหารไทยยังวางกำลัง 11 จุดเขตอธิปไตยไทย
สธ.จ่อฟ้องคดี "กัมพูชา" โจมตีโรงพยาบาลไทยเสียหาย